เราเคยรู้เรื่องนางสีดาลุยไฟในรามเกียรติ์ เคยเห็นพิธีลุยไฟในศาลเจ้าตอนตรุษจีน...แต่น้อยคนนัก จะรู้ว่า คนโบราณยังมีอีกวิธี คือพิสูจน์ด้วยการดำน้ำในหนังสือสำนวนไทย “กาญจนาคพันธุ์” เล่าถึงพิธีพิสูจน์ดำน้ำ...ตามกฎหมายลักษณะพิสูจน์ ในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยา ว่า โจทย์จำเลยจะพิสูจน์แก่กัน...(สะกดตามต้นฉบับ)“ให้ตุลาการลูกความทั้งสองไปซื้อไก่เป็นแห่งเดียวกัน ซื้อขี้ผึ้ง ด้ายดิบ ผักส้มป่อย ม่อเข้าใหม่ ม่อแกงใหม่ ผ้านุ่งผ้าห่มแห่งเดียวกัน จ่ายเครื่องบายศรีแห่งเดียวกัน”ยังมีรายละเอียดบอกไว้ อีกมาตราหนึ่งว่า...มีเครื่องสังเวย เครื่องครัว เครื่องปรุงอาหารและอื่นๆสำหรับที่จะอยู่กินได้ 3 วัน และต้องซื้อทั้งสองฝ่ายเฉพาะไก่นั้นบอกว่า “ไก่ตัวผู้รู้ขันประจำยาม ข้างละตัว ไก่บังสุกุลไหว้เทพารักษ์ทั้งสองตัว”เมื่อมาอยู่กับตุลาการครบ 3 วันแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็เข้ามณฑลดำน้ำพิสูจน์ก่อนพิสูจน์มีกล่าวว่า “ให้โจทย์จำเลยสระหัวแล้วชนไก่ เสร็จแล้ว ก็ดำน้ำพิสูจน์”กาญจนาคพันธ์ ตั้งข้อสังเกต ตามกฎหมายโบราณ ไก่ขันเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างประหลาดไก่ที่จะเข้าพิธีตามกฎหมายระบุ ต้องเป็นไก่ตัวผู้รู้ขันประจำยาม ว่าตามตัวหนังสือก็ว่า รู้ยามที่จะขันเหตุที่เลือกไก่ จะเอามาเป็นเครื่องกำหนดเวลานอนตื่น ทำอะไรก็ต้องทำให้พร้อมกัน หรือจะเอามาเป็นเรื่องกำหนดเวลาดำน้ำแต่ก่อนจะดำ ก็ให้ไก่ชนกันในกฎมณเฑียรบาล เรื่องพิธีพลีวัง...ครั้นเสร็จการพิธีแล้ว จึงให้เอาไก่นั้นไปปล่อยเสียนอกเมือง ให้มันพาเสนียดจัญไรภัยอุปัทวไปให้พ้นพระนครท่านนี่ก็เป็นข้อถือโชคลางทางไสยศาสตร์เกี่ยวกับไก่ในพระราชนิพนธ์อิเหนาของรัชกาลที่ 2 ตอนปันหยีชนไก่ กับอุณากรรณ มีกลอนว่า“สองฝ่ายให้น้ำสรรพเสร็จ เสียเคราะห์ทำเคล็ดเด็ดหาง” หมายความว่า เด็ดหางไก่แก้เคราะห์ไม่ดีให้พ้นไปจะได้ชัยชนะข้อถือเคล็ดลางทางไสยศาสตร์นี้ คือที่เกิดของสำนวน ตัดหางปล่อยวัด สำนวนที่เราเข้าใจว่า ไม่เอาธุระ ไม่เลี้ยงดูต่อไปเท่าที่อาจารย์กาญจนาคพันธุ์ ค้นหนังสือเก่ามาเล่า คงพอเห็นภาพพิธีดำน้ำพิสูจน์...ได้แค่นี้ในพงศาวดารสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี...หลังปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง...พระเจ้าตากสิน ทรงเห็นว่า พระสงฆ์ละแวกนั้น นอกรีตนอกรอยไปมาก โปรดให้ชำระอธิกรณ์พระเถระทางภาคเหนือ ด้วยวิธีดำน้ำ...ดูเหมือนจะมีถึงตายไปหลายองค์การดำน้ำพิสูจน์มีเป็นครั้งสุดท้ายที่เชียงใหม่ ฝรั่งคนหนึ่งบันทึกไว้ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2424 ปีที่ 14 ในรัชกาลที่ 5 ฝรั่งไม่ระบุว่า เป็นคดีอะไร และทำเต็มตำราหรือไม่?คนโบราณท่านใช้การดำน้ำลุยไฟ เป็นวิธีพิสูจน์คดีความครับ...ดีชั่ว ถูกผิด ตัดสินกันตรงนั้น...ไม่ต้องมาอุทธรณ์ ฎีกา กันยืดยาวเหมือนคดีความสมัยใหม่จะว่าไป กระบวนการยุติธรรม แบบดำน้ำลุยไฟ...ก็ดูขลัง...เข้ากับยุคสมัย ไม่ต้องมีเรื่องราวมาให้คนสุมหัวนินทา เป็น “ความยุติธรรมแบบเทวดา” ความยุติธรรมคนรวยแบบหนึ่ง ความยุติธรรมของคนจนอีกแบบหนึ่ง.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ "ชักธงรบ" เพิ่มเติม