ผ่านมาแล้ว 75 วัน นับจากวันเลือกตั้ง 4 พฤษภาคม แต่การเลือกนายกรัฐมนตรี ยังไม่ชัดเจนว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่กันแน่ จึงเกิดเสียงเล่าลือและข้อเสนอต่างๆ นานา บางฝ่ายเสนอ 8 พรรคที่จับมือกัน จัดตั้งรัฐบาล ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ นั่งรอไปอีก 10 เดือนก็ตั้งรัฐบาลได้ หลังจากที่ สว.ชุดนี้พ้นตำแหน่งข้อเสนอข้างต้น ถ้ามองในด้านนิติศาสตร์ ถือว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ามองด้านรัฐศาสตร์และด้านเศรษฐกิจ จะมองเห็นหายนะของประเทศและประชาชน ประเทศต้องอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล ชั่วคราวเกือบ 300 วัน เลขาธิการสภาพัฒน์ฟันธงว่า จะส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศในหลายด้านกระทบถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ติดต่อกันถึง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2569 ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และกระทบต่อการเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับนานาประเทศ เพราะรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจ ที่จะอนุมัติการทำสัญญา ทั้งไม่สามารถทำงบลงทุนใหม่ ทำให้นักลงทุนหมดความมั่นใจยิ่งกว่านั้น การเลือกนายก รัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนาน กลุ่มอำนาจเดิมก็ออกมาแข่งขัน ด้วยการตั้งรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วยรัฐบาลปัจจุบันทุกพรรค ที่มี สส.รวม 188 เสียง บวก สว. 250 เป็น 438 เสียง แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ แต่ใช้งูเห่าแก้ปัญหาได้ข้อเสนออีกข้อหนึ่งคือเรื่อง “นายกฯคนนอก” ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เสนอ แต่นักข่าวบอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่ามาจาก สว.ไม่มีใครยอมรับหรือปฏิเสธ เป็นข้อเสนอที่แสดงถึงความสิ้นหวังในการตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย จากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ที่รวบรวม สส.ได้เกินกึ่งหนึ่งในสภาจะยึดบารมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่พึ่ง เพื่อให้วินิจฉัยว่ามติรัฐสภาที่ห้ามผู้สมัครนายกฯเสนอตัวรอบที่ 2 เป็นมติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ สว.บางคนออกมาขวางอ้างว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจ ที่จะตรวจสอบอำนาจสูงสุดของประเทศคือรัฐสภา และสอนวิชารัฐธรรมนูญว่ามีแต่อำนาจนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการที่ตรวจสอบซึ่งกันและกันแต่รองเลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน สวนกลับว่าคำร้องที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีองค์ประกอบครบถ้วน จึงส่งให้ศาลวินิจฉัย ผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่ได้ตรวจสอบถ่วงดุลเอง แต่เป็นองค์กรที่รับคำร้องประชาชน เพื่อส่งต่อศาลในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนสามารถตรวจสอบอำนาจรัฐสภาได้.คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม