ผลการสำรวจความเห็นประชาชนของสื่อมวลชน ที่พบว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้คะแนนนำ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย เป็นครั้งแรกในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สร้างความฮือฮาในวงการเมือง แม้พรรคก้าวไกลจะถ่อมตัวว่านายพิธายังเป็นรองนายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล บอกนักข่าวว่า เมื่อนับคะแนน น.ส.แพทองธาร รวมกับนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้สมัครนายกรัฐมนตรีอีกคนของพรรคเพื่อไทย คะแนนนายพิธายังเป็นรองอยู่ และคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยก็ยังนำพรรคก้าวไกล ตามด้วยพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์แต่ก็น่าสงสัย คะแนนนิยมนายพิธาพุ่งขึ้นมาได้อย่างไร เพราะเคยได้คะแนนเป็นรองอุ๊งอิ๊งอยู่ห่างๆ จากผลการสำรวจของโพลเจ้าประจำ คือนิด้าโพล พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้ประกาศนโยบาย “โคตรประชานิยม” เหมือนกับบางพรรค อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ ประชานิยมสุดขั้วที่อาจมีปัญหานโยบายพรรคเพื่อไทย สัญญาจะแจกเงินผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท แจก “ทุกคน” ไม่ว่าจะเป็นยาจกหรือมหาเศรษฐี ราว 50 กว่าล้านคน โดยใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท ถูกนักวิชาการวิจารณ์เป็นประชานิยมสุดขั้ว มีปัญหาว่าจะเอาเงินมาจากไหน และจะฟื้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่พรรคก้าวไกลก็มีนโยบายประชานิยม แต่ไม่ฮือฮาเพราะไม่สุดโต่ง เช่น ให้เยาวชน อายุ 7 ถึง 20 ปี เรียนฟรี อาหารฟรี ซื้อผ้าอนามัย โดยไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เรียนอาชีวะจนถึง ปวส.จบแล้วมีงานทำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 450 บาท ขึ้นให้ทุกปี ประกันสังคมทุกคนโดยถ้วนหน้า เป็นรัฐสวัสดิการมากกว่าแต่จุดแข็งของพรรคก้าวไกล คือการยืนหยัดเดินหน้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ เช่น กระจายอำนาจสู่ประชาชน จะให้ประชาชนออกเสียงประชามติ เห็นด้วยกับการเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด และเลิกการปกครองส่วนภูมิภาคหรือไม่ เพราะขณะนี้เรามีการปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบจ. และ อบต.อยู่แล้วแต่ประเทศไทยแบ่งการปกครองเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น มีการเลือกตั้งผู้บริหารองค์การปกครองส่วนจังหวัด และส่วนตำบล (อบต.) แต่ไม่ได้กระจายอำนาจให้ประชาชนอย่างแท้จริง การปกครองประเทศยังเป็นแบบ “รัฐราชการรวมศูนย์” ปกครองโดยส่วน กลาง ข้าราชการส่วนภูมิภาค ยังขี่คอส่วนท้องถิ่นอยู่.