เมื่อต้นสัปดาห์นี้เองหน้าเศรษฐกิจของไทยรัฐลงข่าวพาดหัวตัวโตพอสมควรเอาไว้ว่า “ห่วงเด็กไทยก่อหนี้เกินตัว” บิ๊กตู่เร่ง “กอช.” ปลูกฝังการออมในกลุ่มเยาวชน...พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาของเด็กๆที่ทำให้บิ๊กตู่ต้องออกมาสั่งการอีกเรื่องด้วยความเป็นห่วงอนาคตของชาติผู้แถลงข่าวนี้ก็คือ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ นั่นเองมีเนื้อหาโดยสรุปว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้ กอช.เร่งขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาโดยด่วนเพื่อดึงกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา ให้หันมาออมทรัพย์เพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการออมของเยาวชนมีจำนวนน้อย อีกทั้งยังมีแนวโน้มในการสร้างหนี้สูงขึ้นอีกด้วยกอช.จึงเข้าไปเสริมให้ความรู้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเพื่อให้เริ่มออมได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ขณะเดียวกันจะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการผลักดันการจัดทำหลักสูตรการเรียนวิชาการออมขึ้นมาเป็นวิชาบังคับเพื่อปลูกฝังให้เด็กมีวินัยในการใช้เงิน และหันมาออมมากขึ้นรายละเอียดของข่าวยังมีเยอะกว่านี้...แต่ผมขอหยิบมาเฉพาะประเด็นข้างต้นนี้เท่านั้น เพื่อแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมก่อนอื่นคงต้องบอกว่า ผมก็รู้สึกกังวลใจเช่นกันที่เยาวชนไทยของเรามีสัดส่วนการออมน้อยลง และก่อหนี้สูงขึ้นตั้งแต่เด็กๆหากจะมีหนทางใดที่จะช่วยให้เด็กไทยหันมารู้จักออมหรือเก็บหอมรอมริบมากขึ้นก็เป็นเรื่องที่สมควรกระทำแต่เรื่องที่จะผลักดันให้เป็นหลักสูตรการเรียนในโรงเรียนแบบเป็นวิชาบังคับนั้น ผมขอฝากให้คิดนานๆและคิดให้ถี่ถ้วนด้วยนะครับเพราะการไปบังคับโน่นบังคับนี่อาจจะทำให้เด็กๆเกิดความรู้สึกต่อต้านเดี๋ยวก็จะไม่เข้าเรียนและหนีโรงเรียนไปสร้างหนี้เพิ่มขึ้นเสียอีกเท่านั้นสมัยผมเด็กๆเคยมีหนังสือที่แต่งขึ้นเพื่อสอนใจเด็กๆในเรื่องการทำดีต่างๆมาให้อ่านเป็นหนังสือประกอบการเรียนเช่น เรื่อง “นกกางเขน” สอนให้เด็กๆรักธรรมชาติ รักสัตว์ รักนก มีจิตใจที่อ่อนโยน, เรื่อง “อุดมเด็กดี” สอนให้เด็กๆทำดี ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าสอนอะไรบ้าง แต่จำชื่อหนังสือได้อีกเรื่องหนึ่งตรงกับที่ กอช.จะไปขอความร่วมมือกระทรวงศึกษาธิการเลยครับ ชื่อเรื่อง “ออมไว้ไม่ขัดสน” สอนให้เห็นถึงประโยชน์ของการเก็บหอมรอมริบต่างๆจะเป็นด้วยหนังสือเหล่านี้หรือเปล่าไม่ทราบที่ทำให้อุปนิสัยดีๆทั้งหลาย เช่น การรักสัตว์และโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์ การเป็นคนดีและการรู้จักเก็บออม ค่อยๆซึมเข้าสู่เด็กๆรุ่นผมพอสมควรที่ใช้คำว่า “พอสมควร” ก็เพราะเมื่อโตขึ้นเราต้องออกไปเจอบทเรียนชีวิตที่โหดร้าย มีการแก่งแย่งชิงดี มีการยั่วยุให้ฟุ้งเฟ้อด้วยกิเลสต่างๆ...เด็กรุ่นผมจึงเปลี่ยนนิสัยไปเสียหลายคน (แต่ที่ยังเหมือนเดิมอยู่ก็หลายคนเช่นกัน)ที่เปลี่ยนมากที่สุดจนถึงขั้นแทบไม่ทำตามเลยก็คือเรื่อง “ออมไว้ไม่ขัดสน” นี่แหละครับทั้งๆที่นอกจากจะอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เรายังมี ธนาคารออมสิน มาช่วยสอนภาคปฏิบัติให้เราด้วยซ้ำมาเปิดสมุดบัญชีให้เราฝาก 1 บาท 2 บาท 5 บาท ถ้าผมจำไม่ผิด แล้วก็ให้กระปุกมาฝึกหยอดเหรียญแต่พอโตขึ้นกลับมีปัญหาหลายอย่างที่มาทำให้เราลืมการออมที่เราฝึกไว้ตอนเด็กเสียหมด โดยเฉพาะปัญหารายได้ที่น้อยกว่ารายจ่ายมาโดยตลอด จะมีเงินที่ไหนไปออมได้ละครับผมเขียนคอลัมน์วันนี้ด้วยความเข้าใจในหัวอกลูกหนี้และคนออมไม่ได้จำนวนไม่น้อยที่สาเหตุมาจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย (แต่สำหรับคนที่ใช้จ่ายเกินตัวและฟุ้งเฟ้อ รวมทั้งติดพนันด้วย ขออนุญาตไม่เห็นใจนะครับ)สุดท้ายนี้ก็ขอให้กำลังใจโครงการฟื้นฟูหลักสูตร “เก็บหอมรอมริบ” ที่ กอช.พยายามจะติดต่อขอประสานกับกระทรวงศึกษาธิการ ขอให้ประสบความสำเร็จคือสำเร็จทั้งมีหลักสูตรเกิดขึ้น และเมื่อเด็กๆได้เรียนจบแล้วก็มีอุปนิสัยในการออมมากขึ้นสมมาดปรารถนาผมเห็นด้วยกับ กอช.อีกอย่างหนึ่งว่าคนเกษียณที่ไม่มีเงินออมจะอยู่อย่างลำบากมากขึ้นในอนาคตแน่นอน ขอให้รีบออมกันเสียแต่บัดนี้เถิดครับ (ถ้าออมได้)“ซูม”