หนังสือ “ศัพท์สรรพรรณนา” (ปรัชญา ปานเกตุ สำนักพิมพ์แสงดาว พ.ศ.2565) ที่จริงเป็นหนังสือใหม่ แต่ผมหยิบใช้มากจนช้ำ วันนี้เจอคำ “กลีบเมฆ” ยังนึกไม่ออก เกี่ยวข้องการเมืองแค่ไหน ขออ่านไปก่อนเมฆ คือไอน้ำที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยอยู่ในอากาศ การศึกษาเมฆในเชิงวิทยาศาสตร์ เรียกว่า เมฆวิทยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตุนิยมวิทยา จำแนกเมฆตามรูปร่างได้ 3 ประเภทเมฆก้อน เห็นเป็นปุยก้อนสีขาวเหมือนขนแกะ เห็นเป็นแผ่นบางเสมอกัน เมฆฝอย เห็นเป็นเส้นๆหรือริ้วบางๆ หรือริ้วโค้งๆ เหมือนขนนก และยังแบ่งละเอียดลงไปอีกมากแต่คนรุ่นก่อนมองเมฆด้วยความรื่นรมย์มากกว่า ภาษาไทยจึงมีคำเรียกเมฆมากมาย บางคำผูกจากภาพที่ประจักษ์ด้วยตา หลายคำเคล้าคลึงให้เอื้อต่อจังหวะลีลา และรสแห่งถ้อยคำ อันต้องสัมผัสด้วยใจวันไหนอากาศดีไม่มีฝน สุดสายตาไกลลิบเห็นริ้วเมฆเหมือนขนนกโค้งบางพาดกลางท้องฟ้า เรียก เมฆหางม้าเมฆที่มองด้วยตาเปล่า เห็นว่ามีปริมาณมากกว่าเจ็ดแปดของท้องฟ้า เรียกว่า เมฆคลุ้มเมฆแผ่นบางลอยเรี่ยยอดเขาตอนเช้าหลังฝนตก เรียกว่า เมฆหมอกเมฆที่ตั้งเค้าสีเทาทึมครึ้มมัว ก่อนลอยต่ำละลายตัวลงมาเป็นฝน เรียก พยับเมฆวรรณคดี (สิงหไกรภพ) เรียกกิริยาที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าว่า ลอยเมฆ หรือลอยเมฆา เช่น เร่งรีบตามข้ามทะเลลอยเมฆา เรียกกิริยาที่มุดด้นผ่าไปในเมฆา ว่า ดั้นเมฆ (บทละครเรื่องพระศรีเมือง) เช่น ผาดผันดั้นเมฆรีบลัด เร็วดังลมพัดก็ว่าได้เรียกกิริยาที่เข้าไปแอบซ่อนในเมฆ ว่า แฝงเมฆ เช่น (กาพย์พระไชยสุริยา) รอนรอนอ่อนอัสดง สุริยงเย็นยอแสง ช่วงดังน้ำครั่งแดง แฝงเมฆเขาเมรุธรเมฆอยู่สูงมาก ส่วนของเมฆที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ เมื่อมองจากพื้นดิน เรียกว่า กลีบเมฆตัวละครในวรรณคดีที่มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ มักชอบเข้าไปแอบซ่อน หรือกำบังตนในนั้น ดังตัวอย่าง (บทละครเรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1) หลบเข้ากลีบเมฆแฝงกาย ยิ้มพรายสำรวลสรวลสันต์ (ลักษณวงศ์) แล้วขุนมารอ่านมนตร์กำบังพลัน เหาะเข้าดั้นกลีบเมฆให้ลับตาบางครั้งกวีก็ใช้ กลีบเมฆา ดังตัวอย่าง (ประชุมคำพากย์รามเกียรติ์เล่ม 1) เหาะขึ้นอากาศวิถี แอบอิงอินทรีย์ เข้าแฝงกับกลีบเมฆาอาจารย์ ปรัชญา ปานเกตุ จบข้อเขียนว่า...มีสำนวนเรียกกิริยาหายลับไปไม่ได้พบอีกว่า หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไรส่วนใหญ่จึงใช้แต่เรื่องยืมเงินแล้วไม่ได้คืนเช่น ตั้งแต่เขายืมเงินไป แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลยผมพยายามเอาเนื้อหาของอาจารย์ลากเข้าการเมือง แต่ลากไม่ไป จึงต้องมโนต่อเอาเองสำนวน “เซียนเหยียบเมฆ” มักใช้กับใครที่เก่งเหมือนเทวดา ทำธุรกรรมใหญ่ หาเงินชาวบ้านเหนือกองสลากได้แบบคาดไม่ถึงตัวอย่าง คดีลอตเตอรี่ กองสลากพลัส ที่กำลังเป็นข่าวตอนนี้อีกคำ “ปั้นเมฆ” รูปปั้นหญิงชายแก้ผ้าสันถวะกัน...โบราณนิยมทำตอนฝนแล้ง นัยว่า เทวดาทนดูรูปบัดสีบัดเถลิง จนอั้นเอาฝนไว้บนฟ้าไว้ไม่ไหว ยอมปล่อยให้ฝนเทลงมาๆบ้านเมืองเราตอนนี้...แค่พรรคพี่น้อง แย่งโครงการแจกเงินคนจนเป็นผลงานของพรรคตัวเองก็แค่นี้ ยังไม่เรียกว่าบัดสีบัดเถลิง...แต่หากจะอยากปั้นเมฆด่า...ด้วยเหตุว่าน่าจะมีสักพรรคที่หน้าด้านกว่า ทำได้ก็ทำไป.กิเลน ประลองเชิง