คดีนายทุนจีนสีเทาลุกลามบานปลาย จากข้อหาค้ายาเสพติด ขยายผลเป็นคดีการฟอกเงิน จากการจับกุมดำเนินคดีนายทุนจีน กลายเป็นการสอบสวนเอาผิดนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ชี้แจงว่าคดีคืบหน้าไปมากใกล้สรุปสำนวนส่งอัยการ ให้ฟ้อง “ตู้ห่าว” ในข้อหาฟอกเงินรอง ผบ.ตร.เปิดเผยด้วยว่า ในคดีที่เกี่ยวกับตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนไว้ ประมาณกว่า 100 คน และตู้ห่าวไม่ได้ประกันตัว ไม่ใช่มวยล้มต้มคนดูแน่ และยังขยายผลเป็นการสอบสวนตำรวจ ซึ่งเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจ ตม. 27 คน บางคนร้องไห้โฮ เพราะจำนนต่อหลักฐานยังมีคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับคนจีนอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อปลัดอำเภอเชียงดาว จังหวัด เชียงใหม่ พร้อมด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้าน ถูกดำเนินคดีข้อหาปลอมแปลงบัตรประชาชนให้หญิงสาวชาวจีน โดยแลก กับเงิน 8 แสนบาท เป็นหลักฐานยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐไทย พร้อมทำทุกอย่างแม้จะผิดกฎหมายร้ายแรง เพื่อเงินตัวเดียวหลักฐานที่ชัดเจนที่ยืนยันอำนาจเงิน อีกกรณีหนึ่งคือคดีการทุจริตสอบนักเรียน นายสิบตำรวจ ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค5 และภาค 9 พบผู้สอบนำคำเฉลยข้อสอบเข้าห้องสอบ 350 คน ทำกันอย่างเป็นขบวนการ เรียกรับเงินจากผู้สอบคนละ 5 แสนบาท มีนายตำรวจและหน่วยงานตำรวจเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการทุจริตสอบนายสิบตำรวจ หลายฝ่ายแปลกใจ ผู้สอบยอมจ่ายเงินถึง 5 แสนบาท เพื่อรับเงินเดือนเพียงหมื่นบาทเศษนิดๆ แต่ผู้สอบถือว่าตำรวจเป็นอาชีพ ที่มั่นคง ซ้ำยังมีอำนาจแสวงผลประโยชน์ เป็นการทุจริตที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปิดเผยว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ระบุว่าเป็นปัญหาใหญ่ของไทยเป็นการซื้อขายตำแหน่งข้าราชการ ที่นายกรัฐมนตรีเรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกันขจัด ด้วยการสร้างจิตสำนึกรังเกียจการทุจริต การซื้อขายตำแหน่งไม่ได้มีแต่เฉพาะในวงราชการ วงการการเมือง อาจมีการซื้อ ตำแหน่งมโหฬารกว่า แต่ไม่เรียกว่าซื้อขายตำแหน่ง เรียกว่า “ซื้อเสียง” เริ่มตั้งแต่ประมูลส.ส. หรือผู้สมัคร ส.ส.ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า ซื้อหัวคะแนน ซื้อเสียงประชาชน ที่ถูกมอมเมาจนเชื่อว่า “เงินไม่มากา (บัตร) ไม่เป็น” แต่นายกรัฐมนตรีผู้ประกาศว่ารังเกียจการทุจริตไม่เห็นออกมาตรการใดๆเพื่อยับยั้งการโกงอำนาจ การเข้าสู่อำนาจด้วยเงิน เป็นเรื่องน่าเศร้า ถ้าถือว่าการซื้อ ส.ส.ซื้อเสียงเป็นเรื่องธรรมดา.