การเยือนประเทศไทยของนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ “เอเปก” (APEC) ถือเป็นการเดินทางระหว่างประเทศครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 3 ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญอย่างยิ่งที่จีน “ยึดมั่น” ต่อประเทศไทยและความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในมุมมองของจีนนั้น “ประเทศไทย” เป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุน ต่างชาติ...เนื่องจากสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มั่นคง ความโปร่งใสด้านนโยบาย การเปิดเสรีทางการค้า และทัศนคติที่เป็นมิตรต่อนักลงทุนต่างชาติดูได้จากตัวอย่างความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สำคัญในโครงการ “แถบและเส้นทาง” (BRI) ของจีน และ มีความก้าวหน้าด้านความร่วมมือที่โดดเด่นในหลายด้าน ไทยและจีน มีศักยภาพ ความร่วมมือ ในการเร่งการแปลงอุตสาหกรรมให้เป็นดิจิทัล และอุตสาหกรรมดิจิทัล และส่งเสริมการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล และภาคเศรษฐกิจจริงจากรายงานต่อการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีจีนเน้นย้ำว่าในการสร้างความเติบโต ทางเศรษฐกิจ จีนจะต้องให้ความสำคัญกับ “ภาคเศรษฐกิจจริง” และพัฒนา อุตสาหกรรมใหม่ต่อไป พร้อมชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเร่งการพัฒนา เศรษฐกิจดิจิทัล บูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจจริง และสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลที่มีการแข่งขันในระดับสากล นับตั้งแต่ปี 2559 รัฐบาลไทยได้นำเสนอยุทธศาสตร์ อุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยให้เป็นเศรษฐกิจที่เน้นมูลค่า แสดงให้เห็น “ความสำคัญ” ในการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล...ให้เข้ากับภาคเศรษฐกิจจริงในอุตสาหกรรม 10 ประเภทหลักของยุคนี้อันประกอบไปด้วย 1.ข้อมูลข่าวสาร 2.หุ่นยนต์และการคำนวณ 3.อะไหล่การบินและอวกาศ 4.วิศวกรรมทางทะเล 5.ระบบรางรถไฟ 6. พลังงานใหม่และการประหยัดพลังงาน 7.อะไหล่ด้านพลังงาน 8.วัสดุใหม่ 9.เวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ และ 10.เครื่องจักรทางเกษตรกรรม“การผลิต” เป็นหนึ่งในกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย ระบบ “การผลิตอัจฉริยะ” จึงเป็นส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความ สำเร็จของอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 บริการคลาวด์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะเป็นวิธีการหลักในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านดิจิทัลระหว่างกัน นับวันยิ่ง ปรากฏชัดมากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นงาน HUAWEI CONNECT 2022 ซึ่งเป็นงานแฟล็กชิปประจำปี ครั้งที่ 7 ของบริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ “หัวเว่ย” (Huawei) จัดที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้ธีม ปลดปล่อยความเป็นดิจิทัล...Unleash Digitalมีการระดมผู้นำ ผู้เชี่ยวชาญ และพันธมิตรในอุตสาหกรรมไอซีที กว่า 10,000 รายจากทั่วโลก เพื่อสำรวจวิธีการปล่อยผลผลิตทางดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่แข็งแกร่งขึ้น หัวเว่ยยังได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานอื่นๆ ในการจัดตั้งบริษัทออกแบบอุตสาหกรรมในรูปแบบของการร่วมทุน เช่นเดียวกับบริษัท “เทนเซ็นต์” (Tencent) เจ้าของแอปพลิเคชัน “วีแชท” (WeChat) ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนอีกราย ยังมีการก่อตั้งศูนย์ข้อมูลสองแห่งในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2564 ที่ผ่านมา ไว้รับรองประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมูลและเทคโนโลยีการประมวลผล แบบคลาวด์ ศูนย์ทั้งสองแห่งในภูมิภาคนี้ได้สร้างการสำรองข้อมูลที่ดีขึ้น สำหรับผู้ใช้งาน ให้การรับประกันสำหรับความปลอดภัยทางธุรกิจและความต่อเนื่องจากการอนุมัติขององค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต กลุ่มธุรกิจทิพย์รัฐ ได้เป็นหุ้นส่วนกับ Tencent Cloud เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม ภูเก็ต ออร์กาไนเซชั่น เซอร์วิส แคร์ POCC Central Management เพื่อใช้ เป็นมาตรการเชิงรุกและตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19การดำเนินงานของแพลตฟอร์มถือเป็นทางออกทางด้าน “ดิจิทัล” ถูกนำมาใช้เก็บข้อมูลลงทะเบียนผู้ติดเชื้อ แยกแยะผู้ติดเชื้อที่มีอาการเบาไปหาหนัก จัดการข้อมูลสาธารณะต่างๆที่เกี่ยวกับโควิด-19 ทั้งหมดก็เพื่อรักษาไว้ซึ่ง “ความเชื่อมั่น” ที่จะทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าใครหรือการที่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจจากไทย เริ่มให้ความสนใจ “เว่ยซิน มินิโปรแกรม” (Weixin Mini Program) ระบบอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันวีแชท เพิ่มความสามารถในการดำเนินธุรกิจโดยระบบดังกล่าวจะมีลักษณะวันสต็อปเซอร์วิส...ครบจบในที่เดียว ตั้งแต่เลือกซื้อสินค้า ทำธุรกรรม และได้รับบริการหลังการขาย ช่วยให้ขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อลูกค้าชาวจีนจำนวนมหาศาลได้สะดวกมากขึ้น ยกตัวอย่างบิ๊กซีก็มีการรุกตลาดจีนผ่านระบบดังกล่าวไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็เนื่องจากจีนเล็งเห็น “ศักยภาพ” ของประเทศไทย ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็ว เฉพาะอย่างในช่วงสถานการณ์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รายงานจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าการจ่ายเงินทางโทรศัพท์มือถือ สังคมไร้เงินสด การเข้าสู่ระบบอีคอมเมิร์ซขายสินค้าออนไลน์ การส่งผ่านข้อมูลผ่านระบบคลาวด์และเทคโนโลยีจากจีนก็ได้รับโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของ “การเดินทางสู่ดิจิทัล” ครั้งนี้ของประเทศไทย ซึ่งยังรวมถึงการติดตั้งเครือข่าย 5G ระบบโรงพยาบาลอัจฉริยะ ไปจนถึงโครงการฟาร์มโซลาร์ ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอนาคตจากข้อมูลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่าการใช้ดิจิทัลเติบโตมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาดังกล่าว และประเทศไทย ก็มีเป้าหมายในการทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลครองสัดส่วน 30 เปอร์เซ็นต์ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ภายในระยะเวลา 5 ปีสำหรับธีมของการประชุม APEC 2022 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพคือ “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” ในฐานะที่เป็นผู้จัดงานที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้การต้อนรับผู้นำระดับชาติหลายสิบคนจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่แน่นอนย่อมมีคำถามที่จะตามมามากมายไม่ว่าข้อสงสัยอย่างเช่น ไทยจะทำเช่นไรในการอำนวยความสะดวกในการค้าและการลงทุนแบบเปิด ปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เพื่อที่จะมารองรับการเดินทางข้ามพรมแดนที่หวนกลับมาแผนกระตุ้นและฟื้นฟูการท่องเที่ยวและภาคบริการ การอำนวยความ สะดวกในการเคลื่อนย้ายธุรกิจ การเพิ่มการลงทุนด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ การสร้างโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นของผู้ประกอบการ... ไปจนถึงการบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนควบคู่ไปกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจไอเดียในการจะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ และเปิดตัวศักราชใหม่ภายหลังสถานการณ์โรคระบาดในเอเชีย–แปซิฟิกและที่อื่นๆทั่วโลกนั้น “การสร้างความเป็นดิจิทัล” และ “นวัตกรรม” ถือเป็นปัจจัยดำเนินการ ที่จะขาดไม่ได้เลย.