สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ยังไม่คลี่คลายดีก็เริ่มมีกลิ่นสัญญาณแนวโน้มต้องเผชิญกับน้ำฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดเดือน ก.ย.–พ.ย.2565 ที่เกิดจากลานีญาดีดตัวทรงพลังขึ้นปะทะปรากฏการณ์ไอโอดีอุณหภูมิน้ำทะเลมหาสมุทรอินเดียสูง แล้วยังมีโอกาสเกิดพายุจรเข้ามาซ้ำช่วงนี้อีกกลายเป็นแรงหนุนให้ “ประเทศไทยยังมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ” ซ้ำเติมก่อให้เกิดความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ ทั้งภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรมสร้างความเสียหายส่งท้ายปีนี้ก็ได้ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต บอกว่าตามการคาดการณ์ 15 วันล่วงหน้า “ประเทศไทย” เริ่มมีสัญญาณแนวโน้มความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจาก “อิทธิพลพายุช่วง 3 เดือนตั้งแต่เดือน ก.ย.–พ.ย. 2565” ในส่วนพายุจะมีความรุนแรงระดับใด หรือทิศทางการเคลื่อนตัวเข้าภูมิภาคไหนนั้น “ต้องพยากรณ์ล่วงหน้า 7 วันอีกครั้ง” จึงทราบปริมาณน้ำฝนตกที่แน่ชัดได้คร่าวๆ “ปีนี้จะเกิดพายุ 23 ลูก” ช่วงครึ่งปีแรกเกิดขึ้น 8 ลูก และยังเหลืออีก 15 ลูก ในจำนวนนี้ก็ไม่มีใครรู้เลยว่า “จะเข้าในไทยกี่ลูก” แต่โดยเฉลี่ยทุกปีจะเข้า 2-3 ลูก เช่นนี้ต้องเตรียมพร้อมตั้งรับให้มีที่รองรับน้ำด้วยถ้าหากว่า “ฝนตกเหนือเขื่อนภูมิพล หรือเขื่อนสิริกิติ์” อันนี้ไม่น่ามีปัญหาด้วย 2 เขื่อนยังพอสามารถรองรับน้ำได้ “เว้นแต่ฝนตกใต้เขื่อนตรงนี้เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่แน่” แล้วยังจะส่งผลกระทบไปถึงลุ่มแม่น้ำชี และลุ่มแม่น้ำมูลอาจซ้ำเติมน้ำท่วมหนักขึ้น เพราะตอนนี้ปริมาณน้ำ 2 แห่งนั้นเอ่อล้นตลิ่งมากพออยู่แล้ว เบื้องต้นลุ่มน้ำชีระดับน้ำล้นตลิ่งใน อ.เขื่องใน อ.เมืองอุบลราชธานี ลุ่มน้ำมูลระดับน้ำล้นตลิ่ง อ.พิบูลมังสาหาร อ.วารินชำราบ อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี ในส่วนแนวทางแก้ไข้น้ำท่วมนี้ยังมีอุปสรรคด้วย “ภาครัฐ” จะใช้โครงสร้างคลองผันน้ำขนาดใหญ่แต่ “ประชาชนบางส่วน” กลับไม่ยอมรับเพราะต้องเวนคืนที่ดินผลกระทบถัดมาคือ “ลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ปัจจุบันนี้ระดับน้ำค่อนข้างสูงสังเกตจากวันที่ 18 ก.ย. 2565 “บริเวณเขื่อนเจ้าพระยา” ระบายน้ำอยู่ที่ 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีที่แล้วระบายน้ำอยู่ที่ 1,200 ลบ.ม.ต่อวินาที และช่วงระบายน้ำมากสุด คือ วันที่ 20 ต.ค.2564 จำนวน 2,800 ลบ.ม.ต่อวินาที ตัวเลขนี้ทำให้เห็น “ความเสี่ยงน้ำท่วมใหญ่” ด้วยปริมาณฝนจะพีกช่วงรอยต่อเดือน ก.ย.-พ.ย.2565 ปัจจัยหลักมาจาก “ปริมาณน้ำฝนที่เกิดจากแนวพายุ” อาจเลื่อนเข้ามาตรงภาคกลาง ทำให้ปริมาณน้ำฝนเต็มทุ่งล้นไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ภาคกลาง แล้วค่อยหลากลงมาภาคกลางตอนล่างในพื้นที่เศรษฐกิจตามลำดับลักษณะนี้ต่างจากปี 2554 ครั้งนั้นมีการปล่อยน้ำเขื่อนลงลุ่มน้ำเจ้าพระยามากจนล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ภาคกลาง ดังนั้น ปีนี้ต้องปรับระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาจาก 2,000 ลบ.ม./วินาทีเป็น 2,800 ลบ.ม./วินาทีหรือไม่ เพื่อนำน้ำบางส่วนเข้าพื้นที่แก้มลิงใน อ.บางบาล อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ตามที่ภาครัฐคุยกับประชาชนไว้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.เพียงแต่ต้องผันเข้าตามความเหมาะสมไม่กระทบอาชีพ ทำนา ทำไร่ เพราะการเอาน้ำจากที่หนึ่งไปเก็บอีกที่หนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบกับการทำมาหากินเหล่านั้น “ภาครัฐ” ก็อาจต้องมีวิธีการเยียวยาด้วยตอกย้ำว่า “เมื่อปีนี้ความเสี่ยงน้ำท่วมขึ้นอยู่กับฝน” สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ เดือน ก.ย.เพราะเป็นช่วงฝนตกชุกในภาคกลางตอนบน และภาคอีสาน แล้วสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้ “ก็อาจเกิดพายุ” ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักกระจายเป็นวงกว้างเกือบทั่วทุกภูมิภาค อันเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นก็ได้ แน่นอนว่า “ปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกตินี้” ล้วนได้รับอิทธิพลจากลานีญาปะทะปรากฏการณ์ไอโอดีเป็นลบ ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรอินเดียสูงกว่าฝั่งตะวันตก ความชื้นสูง กลายเป็นหนุนสำคัญก่อให้เกิดฝนตกมาตั้งแต่เดือน ก.ย.-พ.ย. ลักษณะแบบกระจุกตัวเทกระหน่ำมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ 25%แล้วก็ตกหนักกว่าปีที่แล้ว 20% ฉะนั้นเป็นสัญญาณว่า “ปีนี้น้ำมามากกว่าปี 2564” อย่างแน่นอน “ประชาชนอาศัยตามริมแม่น้ำลำคลองย่อมเสี่ยงรับผลกระทบมากกว่าคนอยู่ไกลริมแม่น้ำนั้น” ฉะนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังพอมีเวลาจัดการหาทางบรรเทาลดผลกระทบให้ประชาชนในระยะอันใกล้นี้ ถัดมาแนวโน้ม “น้ำเหนือไหลหลากทะลักเข้าภาคกลาง” ตามหลักน้ำเหนือแบ่งเป็น 4 สาย คือ แม่น้ำปิง แม่น้ำยม แม่น้ำวัง และแม่น้ำน่าน “ช่วงน้ำหลากมักต้องปล่อยลงแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อผลักดันลงทะเลอ่าวไทย” ทำให้ตอนนี้แม่น้ำเจ้าพระยามีระดับน้ำสูง จนต้องทดน้ำแบ่งไปยังแม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำน้อยแต่ตอนนี้พบว่า “แม่น้ำท่าจีน” ก็มีระดับน้ำที่สูงล้นตลิ่งเข้าท่วมบางส่วนใน จ.สุพรรณบุรี ทำให้ต้องลดการปล่อยจากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณประตูระบายน้ำพลเทพเหลือ 20 ลบ.ม.ต่อวินาที แม้ปรับลดการระบายน้ำแล้วแม่น้ำท่าจีนปลาย จ.สุพรรณบุรี กลับมีระดับน้ำ 200 ลบ.ม.ต่อวินาทีอันเป็นน้ำฝนตกลงทุ่งบ่าลงแม่น้ำท่าจีนนั้น เรื่องนี้กลายเป็นความกังวลว่า “ถ้าช่วงนี้เกิดฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยา 300 มิลลิเมตรเหมือนปี 2564” จะทำให้น้ำหลากซ้ำเติมพื้นที่ภาคกลางที่กำลังเผชิญน้ำท่วมยังไม่คลี่คลายหนักมากกว่าปีที่แล้วได้สิ่งที่ต้องจับตาคือ “อนาคตความรุนแรงของฝนมีแนวโน้มหนักขึ้นเรื่อยๆ” ด้วยอุณหภูมิโลกสูงขึ้นทุกวัน “ก่อเกิดฝนตกมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติในฤดูฝนแต่ละปี” อันมีต้นกำเนิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) การปล่อยก๊าซเรือนกระจกห่มคลุมโลกกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ขณะเดียวกันเมื่อ “ปริมาณฝนตกมากขึ้น” อนาคตพื้นที่ที่จะใช้รองรับพักหน่วงน้ำกลับลดน้อยถอยลง “ถูกนำใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์สร้างมูลค่า” เพราะเมืองขยายตัวเติบโต และมีสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำมากขึ้นอย่างกรณีเมื่อต้นเดือน ก.ย.2565 “กทม.ก็เพิ่งเจอกับฝน 100 ปี ในปริมาณฝนตกหนักระยะเวลายาว” ทำให้พื้นที่สำคัญหลายจุดเกิดน้ำท่วมขัง สะท้อนให้เห็นว่า “พฤติกรรมฝนยากต่อการคาดการณ์ได้แล้ว” สิ่งนี้กำลังกลายเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจต่อสถานการณ์น้ำที่จะมากขึ้นในอนาคตด้วยซ้ำ แล้วอีกข้อมูลจาก “นาซา” ล่าสุดในเดือน มิ.ย. 2565 อุณหภูมิโลกนั้นสูงขึ้นจาก 50 ปีที่แล้วอย่างเช่น ยุโรปมีอุณหภูมิสูงขึ้น 5 องศาฯ เกาหลี 3-4 องศาฯ ทำให้มีฝนเพิ่มขึ้น 30% ประเทศไทยอุณหภูมิสูงขึ้น 2 องศาฯ มีน้ำฝนเพิ่มขึ้น 20% เพราะในทุก 1 องศาฯ จะมีน้ำบนชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น 7% ที่รอวันตกอยู่ฉะนั้น เรื่องนี้ก็นำมาซึ่งเหตุการณ์ “เกาหลีเกิดฝนตกหนัก” แล้วสิ่งนั้นล้วนเกิดจาก climate change ทำให้ทุกอย่างพังทลายลงเสมือนเป็นภัยพิบัติมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆเช่นนี้สิ่งที่ทำได้คือ “ประเทศไทย” ต้องเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของน้ำฝนอยู่ตลอด “อย่ามัวคิดว่ารอน้ำภาคเหนือหลากแล้วค่อยมีความเสี่ยงน้ำท่วมเหมือนปี 2554” เพราะลักษณะนั้นคงเป็นไปได้ยากด้วยพฤติกรรมน้ำหลากไม่เหมือนกัน ดังนั้นปีนี้น้ำท่วมจะมาจากน้ำฝนเต็มทุ่งล้นออกมาท่วมพื้นที่เศรษฐกิจเป็นหลัก“เราไม่ควรโยงปัจจุบันไปสู่สิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วยึดติดเหตุการณ์น้ำท่วมในอดีตเป็นตัวตั้ง เพราะสถานการณ์น้ำเปลี่ยนไปสามารถเกิดแบบใดก็ได้ เช่นปี 2564 น้ำท่วมสุโขทัยที่คาดว่าฝนจะตก จ.แพร่ ไหลผ่าน อ.ศรีสัชนาลัยเข้าสุโขทัยทำให้เตรียมรับมืออย่างดี แต่ฝนกลับตก จ.ตาก แล้วหลากเข้าท่วมสุโขทัยอย่างหนัก” รศ.ดร.เสรี ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้การป้องกัน “รัฐบาล” อาจจะต้องทำการประเมินด้วย “วิธีฉากทัศน์ หรือการสมมติฐานจำลองสถานการณ์น้ำล่วงหน้าไว้หลายแบบ” เพื่อให้มีคำตอบเห็นภาพเหตุการณ์คร่าวๆ แล้วนำข้อมูลนั้นมาเป็นแบบแผนในการรับมือสถานการณ์น้ำแต่ละปี และแจ้งประชาชนรับทราบเข้าใจไว้ล่วงหน้าก่อนเสมอสุดท้ายนี้ฝากไว้ว่า “ปีนี้ฝนยังไม่หยุดตก” จำเป็นต้องติดตาม “พายุ” ที่จะเริ่มเข้ามามีผลในเดือน ก.ย.-ต.ค.ทำให้ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจมีปริมาณฝนตกมากขึ้น แล้วหลังวันที่ 8 พ.ย.เป็นต้นไป “ภาคใต้ตอนบน” จะมีความเสี่ยงเจอน้ำเยอะจึงต้องติดตามฝนจากพายุกันอย่างใกล้ชิดแล้วย้ำว่า “นับแต่ปี 2566 เป็นต้นไป” ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่โหมดภัยแล้ง 4–5 ปีติดต่อกันที่จะยกระดับการขาดแคลนน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปี 2567–2568 สถานการณ์ภัยแล้งจะพีกรุนแรงสูงสุด “ดังนั้น ก็อย่าลืมบริหารน้ำเผื่อหน้าแล้งกันด้วย” มิใช่ว่าจะใช้น้ำกันแบบปีต่อปีอย่างที่เป็นอยู่นี้.