วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันครบรอบ 90 ปี แห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไตย โดยคณะราษฎรเป็นผู้นำ วันที่ 24 มิถุนายน จึง “เคยเป็น” วันสำคัญของประเทศเคยเป็น “วันชาติ” หรือ “วันประชาธิปไตย” แต่ปัจจุบันนี้เป็นเพียงวันธรรมดาคณะราษฎรและปวงชนชาวไทย เคยตั้งปณิธานมุ่งหวัง จะให้ระบอบประชาธิปไตยที่สากลโลกยอมรับ ตั้งมั่นคง และยั่งยืนในประเทศไทย แต่ต้องล้มเหลวซ้ำซาก สาเหตุสำคัญอาจเป็นเพราะวัฒน ธรรมทางการเมืองของไทยฝังรากลึกอยู่ในระบอบอำนาจนิยม สืบเนื่องมาจากการปกครองแบบรัฐราชการรวมศูนย์ประชาธิปไตยไทยจึงล้มลุก คลุกคลานมาโดยตลอด 90 ปี ประชาธิปไตยเคยเบ่งบานในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก้าวถอยหลังสู่ระบอบเผด็จการ หรือประชาธิปไตยครึ่งใบแบบยืนยาว เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาล คือการยึดอำนาจหรือรัฐประหารของคณะผู้นำกองทัพ ยึดสำเร็จมาแล้วถึง 13 ครั้งยังมีอีกสิบกว่าครั้งที่ยึดอำนาจไม่สำเร็จ บางครั้งกลายเป็น “กบฏ” เพราะ ป.อาญาของไทยระบุว่า การยึดอำนาจ หรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดฐาน “กบฏ” รัฐประหารแต่ละครั้งต้องฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ไทยจึงมีรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 20 ฉบับ เป็นรัฐธรรมนูญที่ฉีกทิ้ง 1 ฉบับ ชั่วคราวอีกหนึ่ง รัฐธรรมนูญใหม่อีกหนึ่งประเทศไทยจึงอาจมีรัฐธรรมนูญ มากที่สุดในโลก หรืออย่างน้อยก็อยู่เป็นอันดับต้นๆของโลก เช่นเดียวกับที่อาจมีพรรคการเมืองมากที่สุดในโลก ในขณะนี้ แต่การมีรัฐธรรมนูญ และพรรคการเมืองมากที่สุด ไม่ได้ทำให้ไทยเป็นประชา ธิปไตย ตรงกันข้ามรัฐธรรมนูญกับพรรค กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้าหลังของประชาธิปไตยไม่ต้องเปรียบเทียบกับยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งเป็นต้นแบบประชาธิปไตยของโลก เปรียบเทียบกับญี่ปุ่นก็ได้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศเก่าแก่ของเอเชีย และเคยปกครองด้วยระบอบศักดินาและขุนศึก เช่นเดียวกับไทย ซ้ำยังเพิ่งเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยหลังไทย เมื่อปี 2490 แค่ 75 ปี และมีรัฐธรรมนูญฉบับเดียว ไม่มีการฉีกทิ้งวันนี้ญี่ปุ่นก้าวหน้ากว่าไทยหลายเท่าตัว ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง เช่นเดียวกับไต้หวันและเกาหลีใต้ ไต้หวันเพิ่งจะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย เมื่อปี 2543 หรือแค่ 22 ปี ส.ส.ไต้หวันเริ่มเป็นประชาธิปไตยด้วยการต่อยกันเป็นประจำในสภา เพราะไม่คุ้นชินกับการโต้เถียงแบบฝรั่ง ส่วนประชาธิปไตยไทยอายุ 90 ปีแล้ว แต่ไม่รู้จักโต.