“คดีเพชรซาอุฯ” เป็นหนึ่งในรอย ร้าวสำคัญ ที่เป็นเงื่อนปมปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่าง “ไทย” และ “ซาอุดีอาระเบีย” แม้ว่าคนขโมยเพชรจะถูกลงโทษตามกฎหมายแล้ว แต่การตามหาเพชรล้ำค่า “บลูไดมอนด์” ก็ยังเป็นปริศนานอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทางการทูตซาอุดีอาระเบียถูกลอบสังหารที่กรุงเทพมหานครและเหตุการณ์อุ้มหายนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียและเป็นสมาชิกราชวงศ์ของตระกูลอัลซะอูด ตั้งแต่ปี 2532...ผ่านมาถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 30 ปี ที่มีการเยือนกันในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2565 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ มีกำหนดเข้าเฝ้าฯ และพบหารือกับ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร ที่ยังทรงดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกันเมื่อครั้งเกิดรอยร้าวระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในอดีตนั้นเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด (His Royal Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud)แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงมีพระชันษาเพียง 4 ชันษา ซึ่งปัจจุบันเจ้าชายทรงมีพระชันษา 36 ชันษา“ถือเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้น...มิตรภาพใหม่ระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย” ดร.ศราวุฒิ อารีย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ตะวันออกกลางศึกษา) สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ที่ซาอุดีอาระเบียมีการส่งทอดอำนาจบริหารประเทศจากคนรุ่นเก่าส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ ในเวลาที่ประเทศซาอุดีอาระเบียต้องการสานความสัมพันธ์กับนานาประเทศ จากช่วงที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่ซาอุดีอาระเบียมีภาพของความก้าวร้าวขณะเดียวกันต้องการสร้าง “เศรษฐกิจ” ในประเทศ โดยไม่ใช่การพึ่งพาเฉพาะ “น้ำมัน” อย่างเดียว จึงเปิดประเทศมากขึ้น ทั้งการเปิดให้ต่างชาติเข้าลงทุนและไปลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยว...ด้วยวิสัยทัศน์ 2030“ภูมิภาคที่ซาอุดีอาระเบียสนใจ จึงไม่ใช่เพียงแค่ในตะวันออกกลาง เพราะหลายประเทศมีปัญหาความขัดแย้งและเกิดการสู้รบ สงคราม หรือพันธมิตรเดิมอย่างอเมริกา...ยุโรป ก็มองว่าซาอุดีอาระเบียมีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงเป็นเวลาของการมองหามิตรภาพใหม่ในภูมิภาคต่างๆ”สิ่งที่ต้องรอคอยความตกลงระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสองครั้งนี้คือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระดับปกติเพื่อเปิดทางไปสู่ความร่วมมือทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ...การค้า ซึ่งความสัมพันธ์ในระดับปกติคือ “การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต” โดยตั้งสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียในไทยและ...แลกเปลี่ยนเอกอัครราชทูตกันจากปัจจุบันเป็นระดับอุปทูตเท่านั้น ทำให้ที่ผ่านมาการเจรจาความร่วมมือต่างๆอยู่วงจำกัด ไม่ได้ขยายการเติบโตตามเวลาที่ผ่านไป หากจะย้อนไปก่อนหน้านี้ก็มีสัญญาณความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบียกลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ณ ประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 11-13 มกราคม2563ว่า...ได้เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน ซาอุดีอาระเบีย และโอมาน พร้อมทั้งกล่าวว่า การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียนั้นเป็นการเดินทางเยือนตามคำเชิญของฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าและยังถือเป็นการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยในรอบ 30 ปีระหว่างการเยือนได้มีการหารือกับเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อัลซะอูด รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย กับนายอาดิล บิน อะหมัดอัล-นูบีร รัฐมนตรีแห่งรัฐด้านกิจการต่างประเทศและอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยประเด็นหลักที่ได้มีการพูดคุยกันคือ...การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศดร.ศราวุฒิ ย้ำว่า เรื่องนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะถือเป็นความก้าวหน้าในความพยายามของไทยมาช้านานที่ต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียคำถามสำคัญมีว่า...อะไรคือปัจจัยอันทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามกลับมาฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกันอีกครั้ง? ปัจจัยอันนำไปสู่การฟื้นความสัมพันธ์...ช่วงปลายเดือนมีนาคม2557 หลังศาลยกฟ้องพลตำรวจโทสมคิด บุญถนอม และพวก ในคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ทำให้หลายฝ่ายมองไม่เห็นอนาคตการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียแต่ในปลายปีเดียวกันนั้นเอง เรากลับเห็นรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) ครั้งที่ 2...อันถือเป็นการมาเยือนไทยครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงซาอุดีอาระเบีย พร้อมได้หารือกับนายกรัฐมนตรีถึงแนวทางฟื้นฟูความสัมพันธ์ว่ากันว่าก่อนที่จะมีการหารือกันดังกล่าวได้มีความพยายามจากบางฝ่ายช่วยประสานผลักดันให้เกิดการพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียเองที่เล็งเห็นผลประโยชน์จากการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย หรือนักการทูตฝ่ายไทยเองที่ขอความร่วมมือจากมิตรประเทศที่มีสัมพันธ์แนบแน่นอย่างบาห์เรนให้ช่วยเป็น “สื่อกลาง” เชื่อมต่อความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย“ผมเชื่อว่าการกลับหลังหันของนโยบายต่างประเทศซาอุดีอาระเบียต่อไทยเกิดจากสถานการณ์แวดล้อมซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของซาอุดีอาระเบียเอง” ดร.ศราวุฒิ ว่า “หากยังจำกันได้ช่วงกลางปี 2558 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญในซาอุดีอาระเบีย คือการปรับคณะรัฐมนตรีและการจัดลำดับการสืบสันตติวงศ์ใหม่ของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ...การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไปสู่คนรุ่นใหม่”ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่รัฐบาลของซาอุดีอาระเบียมักจะมีแต่ผู้อาวุโสระดับสูง “การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ้านเมืองจากคนรุ่นเก่ามาสู่คนรุ่นใหม่ ย่อมทำให้วิสัยทัศน์ในการมองอนาคตของประเทศเปลี่ยนไป ผู้นำรุ่นใหม่เหล่านี้อาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับกรณีต่างๆที่เคยเกิดขึ้น แต่พวกเขาตระหนักถึงผลประโยชน์ที่ซาอุดีอาระเบียจะได้รับหากฟื้นความสัมพันธ์กับไทยมากกว่า”ผนวกกับปัญหาทางเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียในช่วงที่ผ่านมา อันเกิดจาก “ราคาน้ำมัน” ที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในฐานะผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อต้องประกาศขาดดุลงบประมาณมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 98,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ...จนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องคิดโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030(Saudi Vision 2030) ขึ้นมา เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียว...เปิดช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจที่หลากหลายมากขึ้นวันนี้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียมีสัญญาณที่ดี ถือเป็นโอกาสสำคัญที่กระทรวงแรงงานต้องหาลู่ทางขยายตลาดแรงงานไทย และนโยบายเปิดประเทศสำหรับการท่องเที่ยว“เราต้องสร้างความสมดุลในความสัมพันธ์ นโยบายหลักที่ประเทศไทยต้องสร้างขึ้นในตะวันออกกลางคือสานสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ” ดร.ศราวุฒิ อารีย์ กล่าวทิ้งท้าย.