เนื่องในโอกาสที่วันปีใหม่ 2565 กำลังจะมาถึงรัฐบาลใจดีประกาศมอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนอย่างอัครมโหฬาร เช่น ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ลดภาษีนํ้ามันเชื้อเพลิง ลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่อยู่อาศัย แม้แต่กระทรวงกลาโหมก็จะดำเนินโครงการเพื่อเติมความสุขประชาชนโฆษกรัฐบาลแถลงว่าของขวัญทั้งหมดนี้ มุ่งช่วยพลิกฟื้นความเป็นอยู่ของประชาชนให้ฟื้นตัวได้ และกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งหมดเป็นของขวัญด้านเศรษฐกิจปากท้อง ซึ่งตรงกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่ขาดไปคือ ของขวัญทางการเมือง ที่คนส่วนหนึ่งเรียกร้องต้องการ เช่น ประชาธิปไตยที่กินได้ของขวัญอย่างหนึ่งที่ประชาชนเรียกร้องผ่านการสำรวจของสำนักโพลอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศให้ชัดเจน จะอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกินเดือนสิงหาคม 2565 เพราะครบ 8 ปี ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 158 ขีดเส้นไว้ ของขวัญทางการเมืองชิ้นต่อไป คือการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. โดยเร็วไม่เตะถ่วงจากการติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มต่างๆที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่เรียกร้องต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างบทบัญญัติอำนาจนิยมหรือเผด็จการ เช่น ยกเลิกอำนาจการเลือกนายกรัฐมนตรีของ 250 ส.ว. ที่ มาจากการแต่งตั้งของ คสช. และมีอำนาจเลือกหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีนับแต่มีการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อเดือนมีนาคม 2562 เป็นต้นมา มี ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านหลายพรรค พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องตามหลักประชาธิปไตย ทั้งขอแก้ไขเป็นรายมาตรา และแก้ไขทั้งฉบับ บางฉบับเริ่มแก้ไขโดยองค์กรประชาชน แต่ถูก ส.ส.รัฐบาลและ ส.ว.บางส่วน สามัคคีตีตกในสภาประเด็นที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มี เสียงเรียกร้องทั้งในและนอกสภาให้แก้ไข ได้แก่ มาตรา 256 ที่บัญญัติว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว. อย่างน้อย 1 ใน 3 หรือ 84 เสียงขึ้นไป ทำให้ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารมีอำนาจยับยั้งการแก้ไข แม้จะได้รับความเห็นจาก ส.ส. อย่างท่วมท้นในระหว่างที่มีการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติทั้งฉบับต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่อำนาจในการทำประชามติเป็นของรัฐบาล จึงไม่น่าแปลกใจที่สหรัฐฯไม่เชิญไทยร่วมประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย.