มีคำถามในใจ ระหว่างฝ่ายค้านที่โจมตีรัฐบาล กับคำชี้แจงของรัฐบาล...ใครทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ผมเปิดทีวีช่องเนชั่นฯ ดูพอดี บก.ข่าวคนหนึ่งเฉลยว่า “พลเอกประวิตร”ความอึ้งทึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นความ “ฮา” รองนายกฯท่านนี้ ชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆนานา ที่ฝ่ายค้านตั้งใจก่นประจานกันแบบสามวันสี่คืน ด้วยประโยคสั้นๆว่า “ทุกเรื่องที่พูดกันมา ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่จริง”คงจะคิดกันไปไกล คิดมุกนี้ได้ยังไง?ผมไม่แปลกใจกะไรนัก บังเอิญ (อีก) ที่ได้ฟัง คุณสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภา เล่าความหลังเมื่อครั้ง นายกฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ถูกอภิปรายสามวันสามคืน ท่านตอบว่า “ทุกเรื่องที่กล่าวหา ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น”แต่จะเหมาเอาว่า พลเอกประวิตร ได้มุกพิเศษนี้จากคุณสุชาติ ก็ไม่เต็มปากนักเรื่องราวที่ให้แง่คิดจะว่าคมคายหรือขำขันก็ได้นี้ มีเรื่องเล่าแต่โบราณกาลหลายเรื่องเรื่องหนึ่งเล่าขานกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ผมจำได้เคยอ่านจากหนังสือ ปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่อง เล่ม 1 พระสมเด็จฯ หยิบหนังสือมาเปิดอ่าน...สำนวนแบบโบราณ มีเสน่ห์น่าอ่านมาก จึงขอถ่ายทอดต่อในโอกาสหนึ่งเจ้าพระคุณ (สมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง) ได้รับนิมนต์เข้าไปแสดงธรรมถวายในหลวง ในพระบรมมหาราชวังมีกำหนดติดต่อกัน 3 วันวันแรกท่านได้ถวายเทศน์ตามปกติ ครั้นพอย่างเข้าวันที่ 2 เจ้าพระคุณจะทราบมาจากทางใดไม่ปรากฏว่า วันนั้นเจ้าจอมองค์หนึ่งกำลังจะประสูติ สังเกตได้ว่าสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงมีพระกิริยากระสับกระส่ายเจ้าพระคุณถวายเทศน์อยู่เป็นเวลานาน จนกระทั้งเสียงมโหรีประโคมขึ้น แสดงว่า “พระเจ้าลูกเธอ” ทรงประสูติแล้ว เจ้าพระคุณก็จบเทศนาลงทันที ทำให้ในหลวงทรงฉงนพระทัยอยู่ไม่น้อยต่อมา ในวันขึ้นเทศน์วันที่ 3 ท่านก็ถวายพระธรรมเทศนาอย่างสั้นที่สุด“อันธัมมะใดๆ บรมบพิตราชสมภารเจ้า ก็ทรงแจ้งพระทัยอยู่แล้ว เอวัง ก็มี ด้วยประการฉะนี้ ขอถวายพระพร”อาจกล่าวได้ว่า ยังไม่เคยมีภิกษุรูปใดเทศนาสั้นแค่นี้มาก่อนเลยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงผิดหวังและแคลงพระทัยนัก จึงทรงพระราชดำรัสถาม“ไฉน จึงเทศน์สั้นนักหนา วันนี้ใจคอสบาย อยากจะฟังนานๆ ทีเมื่อวานนี้มีธุระอยากจะให้จบเร็วๆ ก็เทศน์เสียเนิ่นนาน แปลกจริงนะขรัวโตนี่”เจ้าพระคุณ ได้ถวายพระพรว่า “เมื่อวานนี้ พระมหาบพิตรเป็นเจ้าไม่ทรงสำราญราชหฤทัย จึงสมควรจะสดับพระธรรมนานๆอันจะช่วยให้จำเริญพระทัยขึ้นได้”สำหรับวันนี้ ทรงสำราญพระทัยเป็นอันดีอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องทรงธรรมนานนักก็ได้ล้นเกล้าฯ ก็ได้แต่ทรงพระสรวล แล้วตรัสพ้อว่า “เป็นเสียอย่างนี้แหละหนา ขรัวโต”เทศนาแบบของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง) เป็นแบบฉบับเฉพาะตัว เป็นเรื่องของ “สองปราชญ์” ที่นอกจากเป็นสหายธรรมที่รักกัน ยังฉลาดรู้เชิงกัน ใครจะเอาไปเลียนแบบได้ไม่ง่ายเมื่อพื้นฐานทางใจมีไมตรีต่อกัน เทศน์สั้นแบบเอวัง ก็มีของขรัวโต จึงเป็นที่กล่าวขาน ชื่นชมกันมาเนิ่นนานแต่หากพื้นฐานทางใจ ไม่รักชอบกันมาก่อน การพูดสั้นๆ เหมือนกัน ก็กลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม ต่อหน้ากลัวบารมีก็พูดเหมือนโบราณว่า “มะพลับ” ทั้งต้นทั้งดอกผลงาม แต่พอลับหลัง เขาก็นินทาว่า “ตะโก”ต้นตะโก ถูกเปรียบเป็นต้นไม้ไร้ค่า คนโบราณเขาปลูกไว้เพื่อใช้ “ดัด” ไว้ดูเพลินอย่างเดียว.ภาพ : สมเด็จพุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง)กิเลน ประลองเชิง