มีข่าวชิ้นหนึ่งจาก ซีเอ็นบีซี สัปดาห์ที่แล้วรายงานว่า เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน Yongcheng Coal and Electricity รัฐวิสาหกิจจีนที่ได้รับการจัดอันดับ เครดิต AAA จากสถาบันการจัดอันดับในจีน ได้ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ 1,000 ล้านหยวน ราว 152.01 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยก็ราว 4,600 กว่าล้านบาท และบริษัทต่อเรือของรัฐบาล Tsinghua Unigroup ก็มีการผิดนัดชำระหนี้ ท่ามกลางกองหนี้มหาศาลในระบบการเงินของประเทศจีน แม้จีดีพีไตรมาส 3 ของจีนปีนี้จะมีการเติบโตสูงถึง 4.9% ก็ตามการผิดนัดชำระหนี้ของ บริษัทซอมบี้ หรือ บริษัทผีดิบ ที่ได้รับการ จัดอันดับเครดิตดีสูงถึง AAA ได้ทำให้ แบงก์ชาติจีน เกิดความเป็นห่วงอย่างยิ่ง และออกมาเตือนว่า บริษัทผีดิบเหล่านี้ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของจีนซีเอ็นบีซี ได้แปลรายงานของ แบงก์ชาติจีน ระบุว่า ปัญหาของบริษัทขนาดใหญ่ในจีน อาจกลายเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนทั้งระบบ พฤติกรรมของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ เช่น มีการขยายกิจการอย่างรวดเร็วไปสู่อุตสาหกรรมต่างๆ และในภูมิภาคต่างๆ เมื่อคำนวณหนี้แล้วเกินความสามารถของบริษัทที่จะชำระหนี้คืนได้ การบริหารจัดการในบริษัทขาดความโปร่งใส เช่น มีการกู้ยืมเงินในกลุ่มบริษัทกันเองอย่างซับซ้อน ซุกซ่อนการโอนเงินในกลุ่ม เป็นต้น คล้ายกับบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทในเมืองไทยที่ทำกันเพลินนับตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 ระบาด หนี้สินของรัฐบาล และหนี้สินของเอกชน ในประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากมาตรการปิดบ้านปิดเมืองให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านสถาบันสำหรับการเงินระหว่างประเทศ Institution for International Finance (IIF) ระบุว่า หนี้สินของประเทศต่างๆ ทั่วโลกในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาที่ 272 ล้านล้านดอลลาร์ ราว 8,296 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 3 ไตรมาส ที่ผ่านมาของปีนี้ คาดว่าสิ้นปี 2020 หนี้สินของทุกประเทศทั่วโลกจะพุ่งขึ้นไปถึง 277 ล้านล้านดอลลาร์ ราว 8,448 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีหนี้สินพุ่งขึ้นไปสูงถึง 432% ของจีดีพีในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 50% จากหนี้สินที่มีอยู่ในปี 2019 ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆใน กลุ่มประเทศยูโรโซน หนี้สินของรัฐบาลก็เพิ่มขึ้น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงเดียวกัน ทำให้มียอดหนี้ในปัจจุบัน 53 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังต่ำกว่าปี 2014 ที่มีหนี้ท่วมสูงถึง 55 ล้านล้านดอลลาร์ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หนี้สินของรัฐบาลก็พุ่งขึ้นสูงถึง 348% ของจีดีพี โดยมี เลบานอน จีน มาเลเซีย และ ตุรกี มียอดหนี้เพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงินไอไอเอฟ รายงานว่า ประเทศจีน ประเทศเดียว หนี้สินทั้งหมดที่เกิดขึ้นในครัวเรือน รัฐบาล สถาบันการเงิน และบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ได้เพิ่มขึ้นเกือบ 318% ในไตรมาสแรกของปีนี้ และเพิ่มขึ้นไปที่ 335% ของจีดีพีในเดือนสิงหาคม สวนทางกับจีดีพีของจีนที่เป็นบวก ไตรมาส 1 บวก 6.8% ไตรมาส 2 บวก 3.2% ไตรมาส 3 บวก 4.9%หนี้ก้อนมหึมาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ไม่เคยเจอมาก่อน 432% ของจีดีพีในประเทศที่พัฒนาแล้ว 248% ของจีดีพีในประเทศกำลังพัฒนา กำลังจะกลายเป็น “คลื่นยักษ์สึนามิหนี้” ที่จะพุ่งเข้า ถล่มเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีใครทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตแต่วิกฤติครั้งนี้ ประเทศไทยโชคดีที่สุด เพราะไม่ได้ก่อหนี้อะไรไว้มากมายในช่วงวิกฤติโควิด-19 มีเพียงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ยอดหนี้ก็ไม่เกินเพดาน 60% ของจีดีพี เทียบกับประเทศอื่นแล้วฐานะการเงินไทยดีที่สุด ไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 253,400 ล้านดอลลาร์ เลยทำให้ค่าเงินบาทแข็งปั๋งจนใกล้จะหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์อยู่แล้วแต่ โลกในยุค VUCA ที่มีแต่ความไม่แน่นอนนี้ ความโชคดีอย่างเดียวไม่เพียงพอต้องมีผู้นำประเทศที่เก่งทางเศรษฐกิจการเงินด้วย นี่คืออีกโจทย์ใหญ่ของประเทศไทย ที่จะต้องอยู่ให้รอดให้ได้ในโลกอนาคตที่มีความไม่แน่นอนสูง.“ลม เปลี่ยนทิศ”