ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนหรือโพล กลายเป็นวิวาทะทาง การเมืองอีกครั้ง เมื่อสำนักวิจัยซูเปอร์โพลเผยแพร่ผลการสำรวจ มีกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 90.08 ต้องการให้ปรับรัฐมนตรี ที่เคยเป็นแกนนำ กปปส. ออกไป โดยอ้างว่าสร้างความขัดแย้ง วุ่นวาย แก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี บนความทุกข์ประชาชนมีเสียงตอบโต้ทันควันจากนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเกมหรือมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่ ทำไมโพลจึงถามเฉพาะเจาะจงขนาดนั้น จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาในขณะที่จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี อยากให้ประชาชนดูและตัดสินด้วยตนเองก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซูเปอร์โพลที่ดุเดือดจาก ส.ส.พปชร.บางคน โดยกล่าวหาว่าผลของโพลมักจะเป็นผลด้านลบต่อ ส.ส.บางกลุ่มของ พปชร. ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค และมักจะเป็นผลบวกต่อรัฐมนตรีบางกลุ่มในพรรครัฐธรรมนูญ 2560 ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งรัฐมนตรีและ ส.ส.ไม่ให้เป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ ผู้ใดฝ่าฝืนถือว่าเป็นบุคคลต้องห้าม ไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ที่เป็นรัฐมนตรี หรือ ส.ส.อยู่แล้วต้องพ้นจากตำแหน่งแต่รัฐมนตรีไม่ได้ห้ามทำโพลการเมืองแต่มีกฎหมายพรรคการเมืองระบุว่า การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยไม่สุจริต มีลักษณะเป็นการชี้นำ หรือมีผลต่อการตัดสินใจ ในการเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครใด จะกระทำมิได้ เป็นการห้ามทำโพลเพื่อชี้นำการเลือกตั้ง รวมทั้งห้ามเผยแพร่ผลโพล ในช่วง 7 วันก่อนวันเลือกตั้ง แต่มีบทลงโทษเพียงเล็กน้อย คือจำคุกไม่เกิน 3 เดือนแต่ถ้าเป็นโพลการเมืองที่จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง เช่น ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ถือเป็นความผิดร้ายแรง มีบทลงโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี แต่ถ้าอ้างว่าเป็นผลโพลจะมีความผิดหรือไม่?รัฐธรรมนูญห้ามนักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อ เพื่อไม่ให้ใช้สื่อเป็นกระบอกเสียง เพื่อ โฆษณาคุณงามความดีของพรรค และบดขยี้พรรคตรงข้าม แต่ไม่ให้ห้ามทำโพล ยกเว้นในช่วงการเลือกตั้ง โพลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญทางการเมือง หลายพรรคอาจมีสำนักโพลของตนเอง แต่จะต้องเป็นโพลแท้มิฉะนั้นประชาชนจะเสื่อมศรัทธาโพล.