สภาล่มอีกแล้ว ล่มเป็นครั้งแรกของการประชุมสมัยสามัญ 2563 วาระการประชุมที่ทำให้การประชุมสภาล่ม เป็นแค่วาระ “รับทราบ” ไม่ใช่การพิจารณาร่างกฎหมายหรือญัตติสำคัญ แต่เป็นการรับทราบเรื่องสำคัญ นั่นก็คือรับทราบรายงานผลการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ที่ฝ่ายค้านระบุ “ไม่มีการปฏิรูป”เห็นได้ชัดว่าทั้งรัฐบาลและส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปทุก 3 เดือน ส.ส.รัฐบาลจึงเข้าประชุมน้อย ฝ่ายค้านได้ทีจึงประกาศ “มิใช่สภาตรายาง” เสนอให้นับองค์ประชุม มี ส.ส.เข้าร่วมประชุมแค่ 231 คน ไม่ได้เสียงข้างมาก 244 เสียงขึ้นไป จาก ส.ส.ทั้งหมด 487 คน สภาจึงล่มในทันทีนับแต่มีการยึดอำนาจโดย คสช. ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา มีรัฐธรรมนูญที่บังคับให้รัฐบาลปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆถึง 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับชั่วคราว 2557 และฉบับถาวร 2560 และรัฐบาล คสช.ตั้งสภาเพื่อรับผิดชอบการปฏิรูปถึง 2 สภา ได้แก่ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่า ต้องปฏิรูปการเมือง การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ และด้านอื่นๆภายใน 1 ปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ผ่านมาแล้วกว่า 3 ปี มีแค่รายงานการปฏิรูป แต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จึงถูกพรรคฝ่ายค้านปฏิเสธที่จะรับทราบ เพราะไม่มีผลการปฏิรูปให้รับทราบ มีแต่แผ่นกระดาษรัฐธรรมนูญคาดหวังว่า การปฏิรูปประเทศจะสัมฤทธิผลภายใน 5 ปี แต่ผ่านมาแล้วกว่า 3 ปียังไม่มีอะไรคืบหน้า คณะกรรมการปฏิรูปแต่ละคณะเพิ่งจะเริ่มนับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฝ่ายรัฐบาลไม่ได้แยแสรัฐธรรมนูญ อาจถือว่าแม้จะทำผิดกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญก็ไม่มีใครเอาผิด แม้แต่องค์กรตรวจสอบอิสระแล้วจะปฏิรูปกันอย่างไรสภาล่มจึงไม่ใช่การเล่นเกมการเมืองธรรมดา แต่สะท้อนถึงความล้มเหลวในการปฏิรูปประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และองค์กรตรวจสอบต่างๆ ถ้าถูกกล่าวหาว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญจะต้องถูกนำเรื่องเข้าสู่องค์กรผู้ตรวจสอบ เช่น ศาลฏีกาให้พิจารณาวินิจฉัยนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ชื่อดังท่านหนึ่งฟังธงว่า ปัญหาการเมืองของไทยที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญ 2560 ที่รับรองการทำรัฐประหารว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญซํ้ายังมีกลไกหลายอย่าง เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ผูกมัดให้การทำรัฐประหารเป็นสิ่งที่ถูกต้องรัฐธรรมนูญ ซํ้ายังเป็นรัฐธรรมนูญที่ต้องห้ามแก้ไข.