ปฏิทินผ่านพ้นครึ่งปีไปแล้วตามสภาพการเผชิญวิกฤติไวรัสมรณะโควิด-19 ที่ทอดเวลามากว่า 6 เดือน โดยแนวโน้มสถานการณ์ส่อเค้าวิบากดักรออยู่ข้างหน้า สัญญาณลบเต็มไปด้วยความยากลำบากในห้วงครึ่งปีหลังกับภาวะเศรษฐกิจติดเชื้อโรคระบาด พังระเนระนาดกันทั่วโลก“สงครามโรค” สร้างความเสียหายยิ่งกว่า “สงครามโลก”แต่ยังเป็นความโชคดีของประเทศไทยและความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.สามารถนำทีมบริหารสถานการณ์ รับมือวิกฤติไวรัสโควิด-19 ได้ติดอันดับเบอร์ต้นๆเทียบกับนานาชาติตั้งหลักได้ก่อนประเทศอื่น ตามที่นายกฯ ประกาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯเปิดยุทธศาสตร์ “รวมไทยสร้างชาติ” ฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตการณ์ด้วยการบริหารตามวิถีใหม่ผู้นำยึดแนว “new normal” นำประเทศฝ่ามหันตภัยตามเทรนด์โลกตามโจทย์ท้าทายในการรักษาความปลอดภัยสุขภาพของประชาชนพร้อมๆกับการประคองภาวะปากท้องของผู้ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด สถานการณ์เศรษฐกิจที่ลำบากกันทั่วโลกอารมณ์ผู้คนกลัวอดตายตีคู่มากับกลัวติดโรคระบาดตายล่าสุด ศบค.ได้มีมติผ่อนคลายระยะ 5 อาทิ ให้โรงเรียนเปิดเรียนได้ทั้งหมด ให้สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ โรงเบียร์ เปิดได้ไม่เกิน 24.00 น. และรักษาระยะห่าง อีกทั้งต้องลงทะเบียนเข้าออกสถานที่ปล่อยฟรีกิจการจำเป็นในลำดับท้ายๆ ให้กลับสู่โหมดธุรกิจเดินหน้าต่อได้หมุนฟันเฟืองเศรษฐกิจภายในที่ฝืดเคืองจากมาตรการล็อกดาวน์นานกว่า 3-4 เดือน ขณะที่มาตรการช่วยเหลือจากกระทรวงการคลังจ่ายเงิน 5,000 บาทให้คนตกงาน 3 เดือน สิ้นสุดในเดือนมิถุนายนจำเป็นต้องเปิดให้ประชาชนมีช่องทางหารายได้เลี้ยงปากท้องมันคือโจทย์โคตรหินของฝ่ายบริหาร ท่ามกลางสัญญาณร้ายแทบไร้ปัจจัยบวก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ล่าสุดตอกย้ำด้วยข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญธนาคารโลก “เวิลด์แบงก์” ประเมินตัวเลขคนไทยตกงานจากโควิด-19 กว่า 8.3 ล้านคน ต้องใช้เวลานานกว่า 2 ปีถึงจะเริ่มฟื้นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง หมดยุครุ่งเรืองในจังหวะที่ต้องเร่งฟิตเครื่องยนต์ที่กำลังติดๆ ดับๆ ตามโปรแกรมที่นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกฯระบุ จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เวลา 10.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคมนี้ โดยจะพิจารณา 2 เรื่อง เกี่ยวกับการติดตามภาวะเศรษฐกิจ และพิจารณาเรื่องวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ถือเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาดูแลฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย“บิ๊กตู่” กดปุ่ม “รีสตาร์ต” ครม.เศรษฐกิจ ต่อเนื่องกับจังหวะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กับนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เดินสายประชุมหน่วยงาน กระตุ้นคณะทำงานแก้ปัญหาผลกระทบจากวิกฤติไวรัส เกาะติดนโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบวันต่อวันมันบ่งบอกถึง “มหาวิกฤติ” ที่จ่อปากประตูบ้านอาการหัวหมุนของ “สมคิด” สะท้อนชักช้าไม่ทันกาลกับภารกิจสนับสนุน “บิ๊กตู่” สู้เดิมพันอนาคตประเทศไทย“เหวนรก” เศรษฐกิจโควิด ดักอยู่โค้งอันตรายข้างหน้าแต่นั่นก็ยังไม่วายต้องพะว้าพะวังกับแรงเสียดทานทางการเมือง เมื่อชื่อของ “สมคิด” กลายเป็นตัวเอกตามท้องเรื่อง ถูกลากนัวเนียกับเกมช่วงชิงอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ ต่อเนื่องถึงศึกชิงเก้าอี้รัฐมนตรีภายใต้ปฏิบัติการล้าง “เทคโนแครต” มือบริหารอาชีพทีม 4 กุมารเปิดทางกระบวนการรื้อโควตา เกลี่ยอำนาจและผลประโยชน์กันใหม่ ภายหลังยุทธการแห่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขึ้นแท่นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายอุตตม สาวนายน กลุ่มก๊วนอำนาจใหม่ยกระดับไล่อัด “สมคิด” เปิดเกมรุกฆาตขุนปรากฏการณ์แบบที่นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เล่นบทห้าวท้าชกข้ามรุ่น เปิดหน้าไล่นายสมคิดพ้นรัฐบาล อ้างนโยบายเศรษฐกิจล้าหลังอย่าอยู่เป็นตัวปัญหา ขวางลำมือเศรษฐกิจทีมใหม่จังหวะไล่เลี่ยสคริปต์เดียวกับนายภิญโญ นิโรจน์ ส.ส.นครสวรรค์ และนายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา ยี่ห้อ พปชร. ที่ดาหน้าประสานเสียงโห่ วิพากษ์วิจารณ์มือเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งรัฐบาลว่ากันถึงขั้น “รวมหัว” บอยคอต ล็อบบี้ ส.ส.ไม่ให้เคารพเปิดเกม “รบแรง” แบบไม่ปรานีปราศรัย ไม่ต้องพูดถึงสัมมาคารวะ ตามสถานะที่เข้าใจได้ว่านายชัยวุฒิคือคนก๊วนเดียวกับ “เสี่ยยักษ์” นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล นายชัยวัฒน์เป็นมือไม้สายตรงของ “เสี่ยเฮ้ง” นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ขาใหญ่ทีมภาคกลาง ส่วนนายภิญโญคือสมาชิกกลุ่มสามมิตร คนสนิทของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมทีมงาน “บ้านป่ารอยต่อฯ” ย้ำธง แซะ “สมคิด-4 กุมาร” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณตามอาการออกตัวของลูกพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” แก้ต่างแทนลูกพรรคสายแห่ แค่อารมณ์ของ ส.ส.ที่กลัวยุบสภา ผวากับมุมวิเคราะห์ของนายสมคิดที่อ้างอิงสถานการณ์รับมือเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศสิงคโปร์ล้มกระดานเลือกตั้งใหม่ ในช่วงที่ฝั่งรัฐบาลได้เปรียบคนละเรื่องเดียวกันกลายเป็นเหตุพาลกระแทกชิ่ง “สมคิด” ได้แบบแรงๆและยังได้เหลี่ยมกลบกระแส แก้เกมในจังหวะเดินหมากกระดานแรกพลาด จากการที่ “เสี่ยแฮงค์” นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โชว์วิสัยทัศน์ประเดิมเปิดตัวนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ นั่งแป้นเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทิ้งไพ่ผิด ถูกโห่ฮา จนใส่เกียร์ถอยแทบไม่ทันโดยสถานการณ์ยิ่งตอกย้ำความสำคัญ กระตุกภาพความโดดเด่นของทีมรัฐมนตรี 4 กุมาร นายอุตตม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯ เทียบกับทีมเศรษฐกิจมือใหม่ของพรรคพลังประชารัฐ ดรีมทีมของ พล.อ.ประวิตรห่างชั้นกับทีมเทคโนแครตยี่ห้อ “สมคิด”หลายขุมตามจังหวะแซะทีม 4 กุมารที่ยากอยู่แล้ว แนวโน้มยิ่งเหนื่อยไปกันใหญ่นั่นจึงไม่แปลกที่จะได้เห็นอาการเร่งเกมแตกหัก ขุมอำนาจใหม่ค่ายพลังประชารัฐใต้ปีก “บิ๊กป้อม” เปิดหน้าท้ารบกับ “สมคิด” อาจารย์ใหญ่ของทีม 4 กุมารลากคนที่ตีกรรเชียงอยู่วงนอก มาคลุกวงในเกมตะลุมบอนแต่แน่นอน ด้วยมุกตื้นๆตามรูปการณ์ก็เหมือนอีกฝ่ายจะอ่านเกมทะลุปรุโปร่ง จับทางโคตรเซียนระดับ “สมคิด” ไม่พลาดหลงเหลี่ยมเกมยุทธ์ “เหรียญสิบ” แลก “แบงก์พัน”ไม่มีสัญญาณตอบรับหรือการตอบโต้ใดๆจากรองนายกฯมือเศรษฐกิจเครดิตระดับ “สมคิด” ไม่ยอมลดชั้นไปต่อยมวยวัดที่ต้องโฟกัสจริงๆก็คือท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เอ่ยปากปรามนายชัยวุฒิกรณีออกมาไล่นายสมคิด เตือนให้เบาๆหน่อย สะกิดกันกลางสภาต่อหน้าผู้คนสัญญาณเข้มในระดับที่นายชัยวุฒิต้องพลิกลิ้น เสียงอ่อยทันใดออกตัวไม่ได้ไล่นายสมคิด แค่พูดด้วยความหวังดี ต่อเนื่องกับการตอบคำถามนักข่าวทำเนียบฯหลังประชุม ครม.ที่ “บิ๊กตู่” เน้นเลือกตอบคำถามว่าด้วยกรณีการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารในพรรคพลังประชารัฐ ที่นายอุตตมกับนายสนธิรัตน์ หลุดโพย โดยที่นายกฯย้ำชัดๆ “ท่านก็ทำงานอยู่กับผมดีมาตลอดและก็มีการสั่งในห้องประชุม แล้วทำไมต้องคุย เป็นเรื่องของพรรค”ไม่นับการประกาศในที่ประชุม ครม.ก่อนหน้า ยืนยันอำนาจปรับ ครม.เป็นของนายกฯแต่เพียงผู้เดียว ใครมีปัญหาอะไรมั้ย หรือการกระแทกผ่านนักข่าว ปัดคำถามปมปรับ ครม. ไม่มีปรับ อย่าทำเป็นหูตึง“บิ๊กตู่” ขึงพืดเกมแซะ “สมคิด” โละทีม 4 กุมารแอ่นอกเป็นปราการด่านสุดท้าย สกัดเกมบุกของทีมแห่ “บิ๊กป้อม” ขีดวงการปรับเปลี่ยนในพรรคพลังประชารัฐ จำกัดโซนไม่เกี่ยวกับการปรับ ครม.ห้ามยุ่มย่ามตึกไทยฯล้อกับหลักการหรูที่นายกฯประกาศยึดการบริหารวิถีใหม่กู้เศรษฐกิจโควิด“บิ๊กตู่” ทำให้สังคมที่รอดูภาคปฏิบัติ ได้เห็นความเป็นรูปธรรม ท่ามกลาง “มหาวิกฤติ”ด้วยสถานะต้นทุนหน้าตักที่มากกว่าใคร คะแนนนิยมผูกติดอยู่กับตัว ไม่ต้องกลัวเสียงขู่นักเลือกตั้งอาชีพ ถึงจุดไม่ต้องผวาถ้าไม่มี “พี่ใหญ่” คอยคุ้มกันหลัง ผู้นำถือดาบยุบสภา เอื้อต่อการกุมสภาพการเมืองเน่าๆผู้นำมุ่งเป้าบ้านเมืองมาก่อน ภูมิคุ้มกันธรรมชาติแน่นปึ้ก.“ทีมการเมือง”