เหตุการณ์การสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา “ส่งผลกระทบต่อคนแนวชายแดนในหลายพื้นที่” ต้องอพยพออกจากถิ่นฐานตามคำสั่งด้านความมั่นคง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิต และทรัพย์สินนับตั้งแต่การปะทะกันในวันที่ 7 ธ.ค.2568นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ “ชาวบ้านต้องทิ้งบ้านเรือน และพื้นที่ทำกินไปอยู่ศูนย์อพยพ” แม้ความเป็นอยู่จะได้รับการดูแลจากหน่วยงานท้องถิ่น และภาครัฐ แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต รายได้ ภาระค่าใช้จ่าย และความเครียดสะสมของพี่น้องประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียงสะท้อนชาวบ้านเห็นตรงกันว่า “ไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก” อยากเห็นการแก้ไขปัญหานำไปสู่ความสงบอย่างถาวร จันตะคาม มนตรีวงษ์ ชาวบ้านกันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ บอกว่า นับแต่ภาครัฐมีคำสั่งแจ้งเตือนให้ “ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ในวันที่ 7 ธ.ค.2568” คราวนั้นครอบครัวตัวเองยังไม่ได้อพยพทันที เพราะไม่คิดว่าสถานการณ์จะรุนแรงขนาดนี้ และบวกกับแม่ยายก็อายุมาก รวมถึงยังมีเด็กเล็กหลายคน ทำให้การเดินไม่สะดวกต้องเตรียมตัวก่อน จึงตัดสินใจพักค้างคืนอีกหนึ่งคืน พอเช้าวันถัดมา “ผู้ใหญ่บ้านประกาศผ่านหอกระจายข่าวให้ทุกคนอพยพออกจากหมู่บ้านทันที” จึงเดินทางมาพักอาศัยกับญาติที่บ้านหนองแปน ต.สระกำแพงใหญ่ อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ เพราะเคยใช้เป็นที่พักพิงจากเหตุสู้รบไทย-กัมพูชาเมื่อต้นปี จากนั้นก็มีคนในหมู่บ้านที่ไม่มีที่ไปขออพยพตามมาด้วยอีก 178 คนเช่นนี้จึงประสานผู้ใหญ่ในพื้นที่ “ก่อนใช้วัดสุเทพนิมิตเป็นที่พักชั่วคราว” ที่ได้รับความเมตตาจากเจ้าอาวาส และผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน ร่วมกันจัดเตรียมสถานที่ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านทราบจนเกิดการช่วยเหลืออย่างกว้างขวางในการนำข้าวสารอาหารแห้ง และผักปลูกเองตามไร่นานำมาแบ่งปันให้ด้วยบางคนอนุญาตให้ลงบ่อเลี้ยงปลาจับนำมาประกอบอาหาร ส่งผลให้อาหารเพียงพอและมีหน่วยงานสาธารณสุขแวะเวียนเข้ามาตรวจเยี่ยมให้ความช่วยเหลือทุกวัน ทำให้ผู้อพยพรู้สึกอุ่นใจที่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงต่อมาเมื่อ “นายอำเภออุทุมพรพิสัยทราบ” ก็ได้ลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยม และพูดคุยกับผู้อพยพโดยทางเจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงว่า “พื้นที่วัดสุเทพนิมิตไม่ใช่ศูนย์อพยพเป็นทางการ” เลยแนะนำให้ย้ายไปอยู่ในศูนย์ที่ทางราชการจัดเตรียมไว้ให้ยังพอสามารถรองรับได้ แต่ว่าผู้อพยพเห็นว่าเราดูแลกันเองได้ และไม่ต้องการย้ายออกไปอีกทั้งญาติพี่น้องในชุมชนก็ยืนยันว่า “จะช่วยกันดูแลเพราะเห็นว่าพี่น้องคนไทยด้วยกันกำลังเดือดร้อน” ทำให้ทางอำเภออุทุมพรพิสัยไม่ขัดใจ และจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นศูนย์อพยพ และสนับสนุนอาหารวันละ 3 มื้อ พร้อมทั้งมีหน่วยงานต่างๆ และผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาบริจาคน้ำดื่ม เครื่องใช้จำเป็นอย่างต่อเนื่องทุกวันถ้าหากถามถึง “ความเป็นอยู่ในศูนย์อพยพ?” เรื่องความเป็นอยู่นั้นไม่ได้แออัดอะไร เพราะมีผู้อพยพเพียงร้อยกว่าคนสามารถอยู่กันได้อย่างสบาย “เด็กๆก็ใช้ชีวิตปกติวิ่งเล่นในบริเวณวัด” สำหรับผู้ใหญ่บางวันก็จะออกไปทำกิจกรรม เช่น สูบสระจับปลาตามทุ่งนา ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและมีความสุขดีเพียงแต่ว่าในช่วงหลังมานี้ “เริ่มมีเสียงบ่นบ้างโดยเฉพาะผู้สูงอายุ” เพราะต้องนั่งๆนอนๆ อยู่แต่ในวัดไม่ได้ออกไปไหนเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ทำให้รู้สึกคิดถึงบ้าน และอยากกลับบ้าน แต่ทุกคนก็คอยพูดคุยอธิบายให้เข้าใจว่า “จำเป็นต้องอดทนรอไปก่อน” เพื่อรอคำสั่งทางอำเภอขุนหาญจะอนุญาตให้กลับเข้าพื้นที่ได้เมื่อใดทว่าแม้จะมีความอึดอัดทางความรู้สึกบ้าง “แต่ทุกคนก็เข้าใจถึงสถานการณ์ดี” ทำให้ต้องอดทนและรอให้สถานการณ์ปลอดภัยก่อน “แต่ก็ไม่ถึงกับมีความเครียดจากสถานการณ์สู้รบ” เพียงแต่ชาวบ้านอยากกลับบ้านมากกว่าคล้ายกับเวลาต้องไปอยู่ต่างถิ่นนานๆก็มักจะเบื่อคิดถึงบ้าน แต่ไม่ได้เครียดหรือหวาดกลัวอะไรเนื่องจากผู้อพยพในศูนย์แห่งนี้ “ล้วนเป็นเครือญาติหรือคนรู้จักกันมานาน” ต่างช่วยกันดูแลเรื่องอาหารการกินกันเองวันละ 3 มื้อ ทำให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างอบอุ่น และกินอยู่ร่วมกันเหมือนครอบครัวเดียวกันทว่าแต่ละวัน “ชาวบ้านมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน” ในช่วงเช้าก็จะมีกลุ่มหนึ่งช่วยกันกวาดทำความสะอาดวัด แม่ครัวก็จะลงครัวเตรียมอาหาร ส่วนผู้สูงอายุ และผู้หญิงจะร่วมกันทำวัตรเช้ากับพระตั้งแต่ตี 5 ขณะที่เด็กๆก็ไปบิณฑบาตกับพระเป็นประจำทุกวัน สิ่งเหล่านี้เป็นระบบการดูแลและการจัดการที่ทุกคนช่วยกันทำทำให้บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียด “ทุกคนมีหน้าที่และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน” เพียงแต่บางคนคิดถึงบ้านจนตั้งคำถามว่าเมื่อใดจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เพราะจากบ้านมาอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลาหลายวันอย่างไรก็ตาม “ผู้หลักผู้ใหญ่ใน อ.ขุนหาญ ก็ไม่ได้ทอดทิ้งชาวบ้าน” ยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเยี่ยมทุก 2-3 วัน ทั้งนำ สิ่งของมาสนับสนุนและพูดคุยให้กำลังใจขอให้ทุกคนอดทนรอจนกว่าจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ซึ่งชาวบ้านทุกคนก็เข้าใจสถานการณ์และไม่อยากให้ความไม่สงบเกิดขึ้นอีก เพราะการอพยพไม่ใช่เรื่องง่ายฉะนั้นแม้สถานการณ์จะใช้เวลาแก้ไข “ชาวบ้านก็พร้อมอดทน” ต่างช่วยกันพูดคุยประคับประคองขวัญกำลังใจทั้งลูกหลานและคนชรา “ขอเพียงให้ความขัดแย้งยุติถาวร” ที่ไม่ต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต“ทุกวันนี้ชาวบ้านทุกคนมีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งหนี้สิน ค่างวดรถ ค่าส่งลูกเรียน แต่เมื่ออพยพออกจากบ้านก็ทำให้ไม่มีรายได้เข้ามาเลย และหลายคนต่างกังวลว่าไม่รู้จะหาเงินจากไหนไปจ่ายหนี้ในแต่ละเดือน ดังนั้นสิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือเหตุการณ์ยุติลงถาวรโดยเร็ว เพราะไม่อยากต้องหนีหรืออพยพซ้ำแล้วซ้ำอีก” จันตะคาม ว่าสุดท้ายนี้หากความขัดแย้งยุติลง “อยากให้มีมาตรการป้องกันถาวร” เพื่อลดการเผชิญหน้า ไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีกในอนาคต เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนยังมีความหวาดกลัวจากประสบการณ์ในอดีต “สมัยเขมรแตกเคยเข้ามาปล้นทำร้ายชาวบ้าน” ทำให้คนชายแดนตามไร่นายังคงกังวลด้านความปลอดภัยจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ต้องทำงานตามแนวชายแดน “ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเมื่อใด” จึงอยากให้ภาครัฐพิจารณาหาทางออกที่ทำให้เกิดความสงบอย่างแท้จริง และสร้างหลักประกันความปลอดภัยในระยะยาว เพื่อไม่ให้ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องตกอยู่ในความเสี่ยง หรือความหวาดกลัวอีกนี่คือเสียงสะท้อนภาพความเป็นอยู่ ความรู้สึก และความคาดหวังของคนชายแดนต้องการให้เหตุการณ์จบลงเด็ดขาด เพื่อชาวบ้านจะกลับไปใช้ชีวิตทำมาหากินอย่างปลอดภัยและมั่นใจในอนาคต.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม