โผล่มาได้จังหวะ “ตบมุก” ตีกินบทเด่นตามท้องเรื่องได้ตลอดกับลีลา “มือสับหลีกประชาธิปไตย” อย่างนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก แทรกคิวกระแสความเคลื่อนไหวตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มต่างๆ อารมณ์โชว์เก๋าหักมุมสวนทาง “ใครคิดตั้งพรรคการเมืองตอนนี้ อย่าเสียเวลาเลย ไม่มีใครเขาให้มีการยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่หรอก รออีกนาน”อาการหัวหอกฝ่ายต้านระบอบ “ทักษิณ” ต้องรีบเตะสกัดท่ามกลางปรากฏการณ์ก่อตัวของแนวร่วม กลุ่มแคร์ (CARE) การขยับของมือยุทธศาสตร์การเมืองระดับหัวแถวของทีมดูไบอย่าง “เสี่ยอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง “เสี่ยเพ้ง” นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี “เสี่ยอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รวมไปถึง “รัฐมนตรีแกร่งสุดในปฐพี” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รวบรวมผู้ร่วมอุดมการณ์ปฏิบัติการ “นำร่อง” แหกค่ายพรรคเพื่อไทย ตั้งสาขาพรรคใหม่เปิดม่านได้หวือหวา กระแสตื่นตาตื่นใจ เบียดแทรกชิงพื้นที่ข่าวตามหน้าสื่อได้ต่อเนื่องและมีพลังทั้งในมุมของกระบวนความคิด บุคลากร และเงื่อนไขสถานการณ์ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่ว่ากันไม่ได้ กับเหลี่ยมของโคตรเซียนการตลาดบวกกับมันสมองทีมยุทธศาสตร์ “นายใหญ่ดูไบ” ที่เลือกจังหวะปั่นเรตติ้ง ชิงพื้นที่ข่าวการตั้งป้อมค่ายใหม่ในท่ามกลางกระแส “new normal” สังคมตั้งแง่รังเกียจการเมืองโบราณ“นักเลือกตั้งอาชีพ” ที่ปรับตัวเข้าสู่วิถีปกติใหม่ได้ก่อน ย่อมได้เปรียบในเชิงกระแสตอบรับจากประชาชนนั่นไม่เท่ากับความเหนือชั้น ในการเลือกจังหวะสวนทางตรงกันข้ามกับสถานการณ์ “ผีผลัก” คู่แข่งสำคัญอย่างพรรคพลังประชารัฐหลงกลับสู่ห้วงวังวนหุบเหวน้ำเน่ากระตุกภาพเปรียบเทียบกับพฤติการณ์แย่งชามข้าวในพรรคแกนนำรัฐบาลเบิ้ลบลัฟวิถี “old normal” สถานการณ์ที่ทีมแห่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขึ้นแป้นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โยงออปชันการกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องปรับ ครม.เกลี่ยเก้าอี้กันใหม่ วางเกมข้ามช็อตกันไปถึงมหกรรมรุมทึ้งเค้กเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจสู้โควิดโดยไม่สนวิกฤติความเป็นความตายของชาวบ้านตาดำๆภาพการ “รีแบรนดิ้ง” ทีมดูไบจึงดูเข้าท่าเข้าทีกว่าพฤติการณ์ของนักการเมืองพันธุ์เก่าที่แตะมือท็อปบูตในค่ายพลังประชารัฐ ตอกย้ำเกมสืบทอดอำนาจ คสช.ขบวนแห่ “พี่ใหญ่” เขี่ยลูกไปเข้าทางบาทา “นายใหญ่” เอง อย่างช่วยไม่ได้แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเชื่อตามเครดิตของ “มือสับหลีกประชาธิปไตย” อย่างนายอาทิตย์ที่ฟันธงเป็นนัยส่งสัญญาณ ไม่มีใครเขาให้ยุบสภาหรือเลือกตั้งใหม่ รออีกนานตามเงื่อนไขสถานการณ์ โอกาสทีมดูไบจะพลิกขั้วอำนาจยังรำไรที่ปลายอุโมงค์เกมอำนาจการเมืองแบบไทยๆยังเป็นเรื่องที่โยงกับการเคลื่อนของดวงดาว ชะตาฟ้ากำหนดอีกทั้งตามปรากฏการณ์ “หมอบ” ไม่สู้ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปาง เขต 4 ที่มวยเก๋าลายครามอย่างนายพินิจ จันทรสุรินทร์ อดีต ส.ส. เมืองรถม้าหลายสมัย ถอดใจไม่ลงรักษาแชมป์พรรคเพื่อไทย นาทีสุดท้ายส่อปล่อยผู้สมัครยี่ห้อพลังประชารัฐลอยลำเข้าป้ายแบบสบายๆมันสะท้อนสภาวะ “กลวงใน” ของทีมงานพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ “เสี่ยคลอสเตอร์”นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรค ที่ไม่มีเจ้าภาพ ไร้หัวปั๊มจ่ายท่อน้ำเลี้ยงยังไร้ทิศทางอนาคต ไม่มีเดิมพันจะเพิ่มแต้ม ส.ส.ไปทำอะไรนั่นไม่เท่ากับอาการเดินกันไปคนละทิศคนละทาง ด้านหนึ่งก็เป็นอารมณ์เคว้งคว้าง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง กำลังถูกโดดเดี่ยวจากขุมข่ายสายตรง “น้องปู-เจ๊แดง”ทีมดูไบยังต้องใช้เวลาแต่งตัว ปะผุรอยรั่วกันอีกพักใหญ่โดยเงื่อนไขเกมอำนาจ ณ จุดนี้ยังเป็นโอกาสที่อยู่ในมือของ “บิ๊กตู่” ลิขิตปลายทางเองแต่อย่างน้อยเลย ภาพเปรียบเทียบการยกเครื่องรองรับ “new normal” ของทีมดูไบ ที่กระแสหวือหวาเพราะแรงส่งจากพฤติการณ์ “old normal” ในค่ายพลังประชารัฐ น่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้น “บิ๊กตู่” ต้องปรับจูนหางเสือตามทิศทางวิถีปกติใหม่ทางการเมือง ที่เกี่ยวโยงกับความอยู่รอดของชาติบ้านเมืองพฤติการณ์เก่า การเมืองเน่า ประชาชนไม่ยอมรับแล้วรู้แนวคำตอบ ถ้ายังสอบตก ก็เป็นเรื่องวิบากกรรมทั้ง “บิ๊กตู่” และคนไทย.ทีมข่าวการเมือง