ตามความเชื่อจีนโบราณ เดือนเจ็ดเป็นทั้งเดือนดีและเดือนร้าย เมื่อข้าวเก็บเกี่ยวได้ ก็นำข้าวใหม่ไปไหว้บรรพบุรุษ แต่ยังมีผีร่อนเร่ เรียกว่า “ลี่” ไม่มีญาติเซ่นไหว้ ผีพวกนี้หิวมาก คอยมาแย่งกินของไหว้ หรือไม่ก็ทำร้ายผู้คนความเชื่อนี้เป็นที่มาของการเซ่นไหว้ผีบรรพชน และผีไม่มีญาติ ในวันเดียวกัน (เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้ ถาวร สิกขโกศล สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2557)ต่อมา อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายโยคาจาร ในสมัยราชวงศ์จิ้น มีผู้แปลอุลลัมพนสูตรแพร่หลาย ความเชื่อเรื่องการเซ่นไหว้ ของคนจีนก็พัฒนาไปจากเดิมเรื่องในพระสูตรนี้มีว่า พระโมคคัลลาน์รู้ว่ามารดาตายไปเป็นเปรตอดอยากหิวโหย จึงใช้ฤทธิ์นำบาตรข้าวไปส่งให้ แต่พอเปรตจะหยิบข้าวเข้าปาก ข้าวก็กลายเป็นถ่านพระพุทธเจ้าแนะให้ถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ทั่วสารทิศในวันมหาปวารณา ออกพรรษา อานิสงส์จะส่งให้มารดาในชาตินี้อยู่ดีมีสุข 100 ปี ขณะมารดา 7 ชาติที่แล้วจะไปเกิดในสวรรค์คำว่า “อุลลัมพนะ” ภาษาสันสกฤตแปลว่า “แขวนห้อยหัว” มีความหมายเชิงอุปมาว่า ทุกข์และภัยอันใหญ่ยิ่ง จะถูกช่วยให้หัวกลับขึ้นมาชาวจีนเอาคุณธรรมเรื่อง “เซี่ยว” ความกตัญญูต่อพ่อแม่และบรรพชนจากศาสนาเต๋า เอา “เหญิน” เมตตากรุณา ลัทธิขงจื๊อผสมกับพิธีอุลลัมพนสูตรของพุทธศาสนาแต่บางยุคสมัยที่ลัทธิขงจื๊อเป็นใหญ่ ศูนย์กลางชุมชน ไม่ได้อยู่ที่วัด แต่อยู่ที่ศาลบวงสรวงบรรพชน สมัยราชวงศ์ถัง ศาสนาเต๋ารุ่งเรืองเคียงกับพุทธศาสนาในราชวงศ์ต่อมา มีการแสดงงิ้วเรื่องอุลลัมพนสูตร โดยแต่งเรื่องเพิ่มเติมใหม่ และไม่นานก็เสื่อมลง แต่ยังคงมีอิทธิพลแฝงอยู่ในกิจกรรมสารทจีนนับแต่ราชวงศ์ถังเรื่อยมา เทศกาลบูชาเทพจงหยวน กลางเดือนเจ็ด หรือสารทจีน ก็คัดสรรเอาของพุทธ เต๋า ขงจื๊อผสมผสานกลมกลืนกันไป แต่มีจุดหมายสำคัญ ร่วมกันเซ่นไหว้บรรพชน และอุทิศส่วนกุศลให้ “ลี่” ผีไม่มีญาติการไหว้ผีไม่มีญาติ อาจารย์ถาวรเขียนไว้ว่า ไม่นิยมไหว้ในบ้าน นิยมไหว้แถวชายน้ำ หรือริมถนนหนทาง บางเมืองสมัยโบราณจัดที่ไหว้ไว้นอกเมืองเรียก “ลี่ถาน”นอกจากไหว้กันในวัน 15 ค่ำ เดือน 7 แล้ว ยังไหว้ในวัน 1 ค่ำ และวัน 30 ค่ำ ซึ่งเป็นวันเปิด-ปิดประตูยมโลก หรือจะไหว้กันในวันอื่นๆในเดือน 7 ก็ได้ไม่มีข้อห้ามถึงวันนี้ในจีนกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว ไหหลำ ก็ยังไหว้กันอยู่ทั้งบ่ายและเย็น บางชุมชนก็ยกเลิกไป เปลี่ยนเป็นไหว้รวมกัน เป็นกิจกรรมของชุมชนลี่ ผีไม่มีญาติ ตามความเชื่อเดิมๆของจีนโบราณ เป็นผีชั่วร้าย แต่อิทธิพลของพุทธศาสนาทำให้มุมมองนี้เปลี่ยนไป กลายเป็นผีที่น่าสงสารแต่กระนั้น ทั้งคำเรียกผีไม่มีญาติ หรือผีที่น่าสงสาร ก็ยังสื่อถึงอคติเก่า...จึงมีคนพยายามหาคำเรียกใหม่คนจีนสมัยที่ลงเรือสำเภาจากจีนมาเมืองไทย ตอนอยู่ในเรือเมื่อไม่มีญาติก็มักคบหาผูกพันเพื่อน แล้วมักสาบานเป็นพี่เป็นน้องที่ดีต่อกัน ครั้นมาอยู่เมืองไทย เมื่อเพื่อนล่วงลับก็จึงต้องเซ่นไหว้แสดงความรำลึกนึกถึงกันคำเรียกการไหว้ “ฮ้อเฮียตี๋” พี่น้องที่ดี เริ่มมาจากวิธีคิดนี้เองการเมืองไทย ช่วงเทศกาลสารทจีน ผมได้ยินรัฐมนตรีธรรมนัส พรหมเผ่า พูดถึงรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำว่า จำนวน ส.ส.รัฐบาลคงไม่ได้มีอยู่แค่ที่รู้ วันสองวันนี้ก็เริ่มมีเค้า สองพรรคตีจากเจ็ดพรรคฝ่ายค้าน มาอยู่กับฝ่ายรัฐบาลนักการเมืองเขาจะเป็น “ฮ้อเฮียตี๋” พี่น้องที่ดีกันเมื่อใดก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกพิสดารประการใดเลย.กิเลน ประลองเชิง