“การเรียนรู้วิชาการสาขาต่างๆโดยกว้างขวางเป็นเหตุให้เกิดความรู้ ความคิด และความฉลาดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตช่วยให้บุคคลสามารถสร้างประโยชน์สร้างความเจริญมั่นคงให้แก่ตนเอง ทั้งแก่สังคมและบ้านเมือง”ทุกคนจึงควรมีโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้ได้ตามความประสงค์และกำลังความสามารถหนังสือสารานุกรม บรรจุสรรพวิชาการอันเป็นสาระไว้ครบทุกแขนงเมื่อต้องการหรือพอใจจะเรียนรู้เรื่องใด ก็สามารถค้นหาอ่านทราบโดยสะดวกนับว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์เกื้อกูลการศึกษา เพิ่มพูนปัญญาด้วยตนเองของประชาชนอย่างสำคัญโดยเฉพาะในยามที่มีปัญหาการขาดแคลนครู และที่เล่าเรียนเช่นขณะนี้หนังสือสารานุกรมจะช่วยคลี่คลายให้บรรเทาเบาบางลงได้เป็นอย่างดีจึงมีพระราชดำรัสให้ตั้งโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ มีความมุ่งหมายที่จะนำวิชาการแขนงต่างๆ แต่ละเรื่องเป็นสามตอนหรือสามระดับสำหรับให้ “เด็กรุ่นเล็ก” อ่านเข้าใจได้ระดับหนึ่งสำหรับ “เด็กรุ่นกลาง” อ่านเข้าใจได้ระดับหนึ่งและสำหรับ “เด็กรุ่นใหญ่” รวมถึง “ผู้ใหญ่” อ่านได้อีกระดับหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้ “พ่อ-แม่” สามารถใช้หนังสือนั้นเป็นเครื่องมือแนะนำวิชาแก่ “ลูก”ให้ “พี่” แนะนำวิชาแก่ “น้อง”นอกจากนั้นเมื่อเรื่องหนึ่งเรื่องใดมีความเกี่ยวพันต่อเนื่องถึงเรื่องอื่นๆ ก็ให้อ้างอิงถึงเรื่องนั้นๆด้วยทุกเรื่องไป ด้วยประสงค์จะให้ผู้ศึกษาทราบตระหนักว่าวิชาการแต่ละสาขา มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงกัน พึงศึกษาให้ทั่วถึงคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมการโครงการการจัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนไทยฯมายาวนาน เริ่มตั้งแต่เล่ม 3 เป็นต้นมา ให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง โดยน้อมนำพระราชปรารภของรัชกาลที่ 9 ปี 2512 ถึงการจัดทำสารานุกรมสำหรับเยาวชน “โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”ซึ่งเป็นแหล่งความรู้อ่านได้ทั้งครอบครัว ทุกเพศทุกวัย ครอบคลุม 7 สาขาวิชา เรียกง่ายๆว่ามีเนื้อหาครบครันและหลากหลายให้ได้เรียนรู้กันอย่างเต็มอิ่มกันทีเดียวขณะนี้มีทั้งหมดกว่า 40 เล่ม แต่ละเล่มเลือกเฟ้นเนื้อหาเรื่องจากหลากหลายสาขาวิชา มีความรู้ทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ ปัญหาซึ่งเป็นที่น่าสนใจของสังคม ซึ่งจัดลำดับเรื่องตามลักษณะความสำคัญ และความสัมพันธ์ของเนื้อหาแต่ละเรื่องได้เรียบเรียงเนื้อหาเป็น 3 ระดับความรู้ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่เด็กรุ่นเล็ก เด็กรุ่นกลาง และเด็กรุ่นใหญ่ รวมถึงผู้ใหญ่ ผู้ที่สนใจทั่วๆไป ซึ่งพิมพ์ด้วยตัวอักษรขนาดแตกต่างกันไป เนื้อหาก็เหมาะแก่ผู้อ่านแต่ละวัยอาทิ สารานุกรมฯ เล่มที่ 2 มี 10 เรื่อง เช่น เรื่อง “มหาราชในประวัติศาสตร์ไทย” มีเนื้อหาบอกถึงตั้งแต่ชาติไทยมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองสืบต่อกันมาช้านาน พระเจ้าแผ่นดินทรงรับผิดชอบดูแลและคุ้มครองประชาชนให้มีความสุขเมื่อเกิดศึกสงคราม พระองค์ทรงสู้รบและชนะข้าศึกเพื่อชาติไทยจะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น แต่บางคราวบ้านเมืองเราอ่อนแอ เราก็ต้องเป็นเมืองขึ้น แต่พระเจ้าแผ่นดินของเราก็ทรงพยายามหาทางแก้ไขจนเราได้เอกราชคืนมาพระเจ้าแผ่นดินทรงดูแลทุกข์สุขของประชาชน เหมือนพ่อดูแลลูก พระองค์ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า และมีความมั่นคงทุกด้านพระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ ทรงคุณและทรงทำประโยชน์แก่ชาติไทยอย่างสุดที่จะพรรณนาได้ ประชาชนจึงพร้อมใจกันยกย่องและถวายพระนามพระองค์ว่า “มหาราช” หมายความว่า ทรงเป็น “พระเจ้าแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่”พระมหากษัตริย์ไทยบางพระองค์ที่ประชาชนถวายพระนามว่า “มหาราช” นั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันยังประโยชน์อย่างเยี่ยมยอดแก่ชาติไทยเช่น ได้ทรงกอบกู้อิสรภาพ ทรงปกครองช่วยเหลือประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทรงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยให้วัฒนาถาวรพร้อมมีการยกตัวอย่างมหาราชของไทยในกาลเวลาที่ล่วงเลยมาแล้วบางพระองค์อาทิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริยาธิราช รัชกาลที่ 5 ในพระบรมราชจักรีวงศ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จอยู่ในราชบัลลังก์เป็นเวลา 42 ปี ตลอดเวลาอันยาวนานได้ทรงปรับปรุงทำนุบำรุง และเทิดเกียรติประเทศไทยในฐานะสูงเทียมอารยประเทศอันเป็นที่ยกย่อง พระราชกรณียกิจมีมากมายหลายด้าน หลายประการในโอกาสที่จะทรงครองราชย์ครบ 40 ปี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงเป็นประธานจัดงานสมโภช โดยทรงเชิญชวนพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนร่วมกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ คือ พระบรมรูปทรงม้า ซึ่งประดิษฐาน ณ ลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ที่ฐานของพระบรมรูปทรงม้ามีแผ่นโลหะจารึกข้อความเทิดพระเกียรติ พร้อมทั้งถวายพระสมัญญาว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราชภายหลังจากการเสด็จสวรรคต จึงได้กำหนดวันสักการบูชาประจำปีขึ้นในวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันเสด็จสวรรคตต้องยอมรับว่าสารานุกรมฯทุกเล่มมีเนื้อตามหลักพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นหนังสือที่ดี เป็นที่รวมสมองของประเทศทุกสาขาวิชา เปรียบเป็น “เอนไซโคลปิเดีย” ที่ไม่เหมือนที่ไหนในโลกและไม่มีใครเหมือน เป็นงานที่ยาก เพราะแต่ละเรื่องจะแยกเขียนเป็น 3 ส่วนให้เนื้อหาเหมาะสมกับผู้อ่านแต่ละวัยข้อย้ำว่า การเรียนรู้หลากหลายวิชาย่อมทำให้คนมีความรู้ ความคิด ความฉลาด และความสมบูรณ์ พระองค์ท่านต้องการให้พสกนิกรมีโอกาสเหมือนเช่นพระองค์ท่านครั้งทรงพระเยาว์ ซึ่งได้รับความรู้หลากหลายวิชาจากสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ที่หาหนังสือดีๆให้อ่าน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีก่อให้เกิดโครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการสารานุกรมสำหรับเยาวชนฯทุกเล่มชวนให้หยิบมาเปิดอ่านไม่ว่าจะเป็นสารานุกรมฯเล่มที่ 4 มี 10 เรื่อง เช่น “ความสมดุลของของเหลวในร่างกาย” “ปรากฏ-การณ์ของอากาศ” “การต่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์” “ลำดับพระมหากษัตริย์ไทย”สารานุกรมฯเล่มที่ 6 มี 15 เรื่อง เช่น “คณิตศาสตร์เบื้องต้น” “ตรรกวิทยา” “ฟังก์ชัน” “ความน่าจะเป็น” “กราฟ” “ธรรมชาติ” “ศิลปะ”สารานุกรมฯเล่มที่ 14 มี 10 เรื่อง เช่น “พระราชวังในกรุงเทพ-มหานคร” “พระราชวังในส่วนภูมิภาค” “ประติมากรรมไทย” “การปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์” “สมุนไพร”สารานุกรมฯเล่มที่ 34 มี 9 เรื่อง เช่น “เทวสถานโบสถ์พราหมณ์” “ปริศนาคำทำนายของไทย” “บริการธนาคารผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” “พายุและฝนในประเทศไทย” “โรคฉี่หนู”ฉะนั้นถ้าใครถามว่าควรเริ่มอ่านสารานุกรมฯเล่มไหนก่อน หรืออ่านเรื่องอะไรก่อน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้อ่านว่าสนใจเรื่องใด ให้เริ่มเปิดอ่านเรื่องนั้นก่อน เนื้อหาแต่ละเรื่องแต่ละเล่ม เป็นพื้นฐานความรู้ที่เชื่อมสัมพันธ์ถึงกันเพราะหัวใจการทำสารานุกรมสำหรับเยาวชน “โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”เพื่อต้องการให้มีห้องสมุดโรงเรียนประจำบ้าน“พสกนิกร” จะได้มีโอกาสเรียนรู้เฉกเช่น “พระองค์ท่าน”.ทีมการเมือง