นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และความภูมิใจของกระทรวงกลาโหมไทยที่ได้รับเกียรติในการจัดฝึกร่วมด้านการแพทย์ทหารกับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (ADMM-Plus Military Medicine-Humanitarian Assistance and Disaster Relief Joint Exercise 2016 : AM–HEx 2016)ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในความร่วมมือทางทหาร ภายใต้กลไก การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจาหรือ ADMM-Plusราวเดือนกันยายนปีที่แล้ว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคงและ รมว.กลาโหม พร้อม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ ผู้แทนเอกอัครราชทูต ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา พร้อมใจนำกำลังพลจาก 18 ประเทศเข้าร่วมพิธีเปิดการฝึกร่วมฯ อย่างยิ่งใหญ่ณ ค่ายนวมินทราชินี กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.)ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จ เมื่อกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์ทางทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียนกว่า 2,000 นาย นำเครื่องบิน C-130, Sea Hawk, Mi-17 เรือหลวงอ่างทองจากกองทัพเรือไทย เรือ LST จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เครื่องบิน Ka-27 และเรือพยาบาลจากสหพันธรัฐรัสเซียเครื่องบิน CH–47 และเรือ LST จากประเทศญี่ปุ่น เฮลิคอปเตอร์ Super Puma จากสาธารณรัฐสิงคโปร์ เครื่องบิน C–295 จากสาธารณรัฐอินโดนีเซีย มาร่วมฝึกอย่างพร้อมเพรียงโดยมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการแบ่งปันประสบการณ์ ข้อมูล ทักษะความรู้ระหว่างเจ้าหน้าที่แพทย์ทหารของประเทศสมาชิกอาเซียนตลอดจนการพัฒนาศักยภาพของหน่วยทหารในภูมิภาคในการปฏิบัติการร่วมต่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติพลันมีคำถามเกิดขึ้นว่า “หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง” หน่วยงานใดจะรับผิดชอบหน่วยแรกในการบัญชาการเหตุการณ์ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ในภาวะวิกฤติ?ข้อสงสัยดังกล่าวเป็นเหตุให้ “บิ๊กปุย” พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทหารสูงสุด มอบหมายให้ “บิ๊กปื๊ด” พล.ท.ชัยพฤกษ์ อัยยะภาคย์ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร และ “บิ๊กบู” พล.ร.ต.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร นำคณะสื่อมวลชนสายความมั่นคง ลงพื้นที่ไปยัง “ศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา” หรือ ศฝภ.นทพ.เพื่อหาคำตอบที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยเรื่องของเรื่อง กองทัพไทยได้รับมอบหมายจากกระทรวงกลาโหม ให้จัดกำลังพลที่มีความรู้ความสามารถและมีความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมงในการออกปฏิบัติงานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆได้ทันที นั่นหมายถึง “ต้องใช้เวลาสั้นที่สุดเพื่อต่อลมหายใจเพื่อนมนุษย์ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย”แน่นอน “ศปภ.นทพ.” มีขีดความสามารถพร้อมมาตรฐานและยังเป็นที่ยอมรับของกลุ่มประเทศอาเซียน ภายหลังจากส่งกำลังเข้าไปปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชนเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวถล่ม ณ ประเทศเนปาล“เสธ.โต้ง” พ.อ.เธียรทรรศน์ ภาม่วงเลี่ยม รอง ผอ.ศฝภ.นทพ. เล่าว่า ศฝภ.นทพ.เป็นหน่วยงานหนึ่งในความมุ่งหวังของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ซึ่งเป็นคำตอบและความท้าทายต่อภารกิจที่จะต้องเผชิญ (Challenge) จึงจำเป็นต้องมีรากฐานแนวทางการพัฒนาอย่างเป็นมาตรฐานและยั่งยืน (Sustainable Development) ด้วยการต่อยอดจากความพร้อมในการบริหารจัดการภัยพิบัติของหน่วยตามที่อดีต ผบ.ทหารสูงสุดฝากความหวังไว้...“จงฝึกให้เข้มข้นเหมือนทำการรบ และเมื่อทำการรบต้องทำให้ได้อย่างที่ฝึกมา”โอวาทสั้นๆของ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ซึ่งมองไกลถึงภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมาแทนการนำกำลังเข้ารบพุ่งกันด้วยอาวุธหนักจนนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สินและประเทศชาติอย่างหาจุดสิ้นสุดมิได้ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาจึงมีดำริสั่งการเสริมสร้างหน่วยทหารขึ้นมาหน่วยหนึ่งที่เป็นทั้งครูฝึกด้านงานบรรเทาสาธารณภัยให้กับกำลังพลและพัฒนาศักยภาพครูฝึกของหน่วยให้เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ สามารถทำงานสอดคล้องได้กับหน่วยงานรัฐ ภาคประชาสังคมในกรณีเกิดภัยพิบัติรุนแรงจากนโยบายดังกล่าวทำให้หน่วยได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องจากผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ และล่าสุด “บิ๊กเต้” พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด เคยกล่าวไว้ในสมัยดำรงตำแหน่ง ผบ.นทพ.ว่า “ทุกวินาทีคือชีวิตรอไม่ได้” ทหารเราเป็นผู้ให้ ต้องเข้าไปช่วยเหลือ คลี่คลายสถานการณ์ที่เลวร้ายให้ดีขึ้น...ทั้งหมดทั้งปวงจึงเป็นที่มาของคำสั่งกระทรวงกลาโหม (เฉพาะ) ลับ ที่ 152/59 ลงวันที่ 30 มี.ค.59 และคำสั่งกองทัพไทย (เฉพาะ) ที่ 100/59 ลงวันที่ 4 เม.ย.59 ให้เป็นหน่วยขึ้นตรงของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อัตราหมายเลข 2131 มีคำย่อว่า “ศฝภ.นทพ.”มีภารกิจหน้าที่ดำเนินการจัดการศึกษาและฝึกอบรมความรู้ด้านการบรรเทาสาธารณภัยการค้นหาและช่วยชีวิต ในการช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นเมื่อเกิดภัยพิบัติต่างๆให้กับกำลังพลของกองทัพไทย ส่วนราชการอื่นและ ประชาชนทั่วไป รวมถึงพัฒนาบุคลากรและผลิตครูด้านการบรรเทาสาธารณภัยที่มีทักษะความชำนาญและได้มาตรฐาน ตลอดจนการวิจัย ปรับปรุงพัฒนาการฝึก และการปฏิบัติงานด้านการบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพไทยให้มีความทันสมัยในเบื้องต้นหน่วยได้รับการบรรจุอัตรากำลังพล 90 นาย พร้อมก่อสร้างสถานีจำลองจำนวน 6 สถานี ตามที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ (UN-CMCoord) เพื่อเป็นเครื่องมือและสถานการณ์ในการฝึกทักษะ เทคนิคความชำนาญและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งแต่ละสถานีมีความแตกต่างกัน อาทิสถานีฝึกส่งทางอากาศ ฝึกระบบการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยของเจ้าหน้าที่และการนำพาผู้ประสบภัยออกจากอาคารสูงด้วยระบบเงื่อนเชือก, สถานีฝึกแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม, สถานีฝึกอุทกภัย, สถานีฝึกดินโคลนถล่ม, สถานีฝึกอัคคีภัย, สถานีฝึกสารเคมีรั่วไหล“เสธ.โต้ง” พ.อ.เธียรทรรศน์ บอกด้วยว่า ถึงวันนี้หน่วยได้ฝึกกำลังพลตามขั้นตอนคือจัดอบรมให้ความรู้แก่กำลังพลที่เป็นนายทหาร ติดต่อประสานงานทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงการสร้างความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยที่มีในหน่วยฯตามข้อกำหนด เตรียมชุดค้นหา ...ช่วยเหลือที่มีขีดความสามารถโดยสามารถประกอบกำลังและเคลื่อนย้ายเข้าสู่พื้นที่วิกฤติได้ทั้งทางบกและอากาศยาน“ศูนย์ฝึกฯจะเป็นทั้งผู้ปฏิบัติงานและถ่ายทอดองค์ความรู้ในงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม...การบรรเทาภัยพิบัติ...วิเคราะห์ผลการปฏิบัติงาน ที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุงภารกิจในอนาคต รวมถึงการสร้างการกระตุ้นเตือนแก่ชุมชน ให้ความรู้ แนวทางการปฏิบัติเมื่อเกิดภัยพิบัติในขั้นต้นเพื่อลดการสูญเสีย”ที่สำคัญที่สุด...การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างประสานสอดคล้องเมื่อเกิดภัยพิบัติ เนื่องจาก “ทุกเวลา ทุกวินาที คือชีวิต รอไม่ได้” เหมือนกับที่ “บิ๊กอ้อ” พล.อ.หัสพงศ์ ยุวนวรรธนะ ผบ.นทพ.ย้ำเสมอว่า “ความรอบรู้ ริเริ่มด้านบรรเทาสาธารณภัยของ นทพ.ต้องมีความก้าวหน้าได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก” ฉะนั้น กำลังพล ศปภ.นทพ.ต้องตระหนักถึงภารกิจสำคัญที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ในทุกวินาทีเพราะ “ทุกชีวิตมีค่า เหนือสิ่งอื่นใด”.