สถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ขยายวงครอบคลุม 6 จังหวัดก่อนส่งแรงสั่นสะเทือนลุกลามต่อเนื่องไปถึงมิติทางทะเล ไม่ได้สะท้อนเพียงการขยับกำลังทางทหาร หากแต่เปิดประเด็นคำถามสำคัญที่ลึกกว่านั้น นั่นก็คือ “ต้นทุนของความขัดแย้ง” และ “แหล่งเงินที่หล่อเลี้ยงการยกระดับสถานการณ์”...แม้หลายฝ่ายยืนยันตรงกันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ยังไม่ถึงขั้น “สงครามเต็มรูปแบบ” แต่ระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้นย่อมต้องแลกมาด้วยงบประมาณและทรัพยากรจำนวนมากคำถามคือ “เงิน” เหล่านี้มาจากไหน? และมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมี “ทุนเงา” เข้ามาเกี่ยวข้อง?ในเชิงความมั่นคง การเคลื่อนกำลังในหลายมิติพร้อมกันทั้งภาคพื้นดิน อากาศ และทะเล หมายถึง ค่าโลจิสติกส์ การลำเลียงกำลัง ยุทโธปกรณ์...ค่าเฝ้าระวังข่าวกรอง เทคโนโลยี การสื่อสาร...ค่าใช้จ่ายด้านความพร้อมรบที่สูงกว่าสถานการณ์ปกติหลายเท่าทั้งหมดเหล่านี้คือต้นทุนจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะยังไม่มีการประกาศสงครามก็ตามทีโดยหลักการการปฏิบัติการทางทหารต้องใช้งบประมาณภาครัฐเป็นหลัก แต่ในภูมิภาคชายแดนที่ซับซ้อน นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงตั้งข้อสังเกตว่า “เงินนอกระบบ” มักแทรกซึมอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งเสมอ โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ถูกจับตาในฐานะแหล่งปฏิบัติการของ “ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ” ตั้งแต่...ค้ามนุษย์ ยาเสพติด ไปจนถึงแก๊งสแกมเมอร์ออนไลน์ ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนระดับ “มหาศาล”ปุจฉาสำคัญจึงมีว่า...“กลุ่มทุนสแกมเมอร์”...มีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นผู้ได้ประโยชน์จากความไม่สงบมากน้อยแค่ไหนอย่างไร?คำถามที่เริ่มถูกหยิบยกในวงการข่าวกรองคือความตึงเครียดชายแดน เปิดช่องให้กลุ่มทุนผิดกฎหมายได้ประโยชน์หรือไม่...ความไม่สงบทำให้การตรวจสอบชายแดน “หย่อนยาน” ในบางจุด... ความสับสนของอำนาจรัฐ เปิดช่องให้เครือข่ายอาชญากรรมเคลื่อนไหวง่ายขึ้นอีกทั้งการไหลเวียนของเงินสดนอกระบบ สามารถถูกใช้ “หล่อลื่น” เครือข่ายใต้ดิน? อย่างไรก็ดี ต้องย้ำชัดว่ายังไม่มีหลักฐานชี้ตรงว่ากลุ่มทุนสแกมเมอร์เข้าไป “สนับสนุนการสู้รบโดยตรง” แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ความขัดแย้งที่ไม่ถึงขั้นสงครามคือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ “ธุรกิจสีเทา” อย่างยิ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...ความย้อนแย้งของสถานการณ์ครั้งนี้ เพราะเมื่อยังไม่เข้าสู่ภาวะสงครามเต็มรูปแบบ...กลไกพิเศษด้านความมั่นคงยังไม่ถูกเปิดใช้ทั้งหมด...การตรวจสอบงบประมาณและทรัพยากรอาจไม่เข้มข้นเท่าช่วงสงคราม...กลุ่มทุนใต้ดินสามารถ “แฝงตัว” ได้ง่ายกว่านี่จึงเป็นเหตุผลที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ความขัดแย้งระดับกึ่งสงครามนี้ อาจอันตรายกว่าสงครามจริงในระยะยาว ในสายตาประชาคมโลกไม่ได้มองเพียงจำนวนกระสุนหรือกำลังพล แต่จับตาไปถึงเครือข่ายการเงินผิดกฎหมายที่อาจซ่อนอยู่หลังฉาก เพราะหากปล่อยให้...กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติใช้ความขัดแย้งเป็นเกราะกำบัง...เงินสีเทาไหลเวียนโดยไร้การควบคุม?ความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้อาจกลายเป็น “ชนวนปัญหาระดับภูมิภาค” ที่แก้ยากยิ่งกว่าสงคราม หากจะวิเคราะห์กันต่อไปในเชิงโครงสร้าง ที่ไม่เฉพาะเจาะจงกล่าวหาองค์กรหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง...ใครได้ประโยชน์จาก “ความไม่ชัดเจน” ของศึกไทย-กัมพูชา ต้องย้ำว่าภาวะที่รุนแรงแต่ยังไม่เป็นสงครามคือพื้นที่สีเทาทางอำนาจ และในพื้นที่สีเทานี้ มักมี “ผู้ได้ประโยชน์” มากกว่าที่เห็นในหน้าพื้นที่ข่าวพุ่งเป้าไปที่...ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ (ได้ประโยชน์สูงสุด) นี่คือกลุ่มที่นักวิเคราะห์มองว่าได้อานิสงส์โดยตรง “แก๊งสแกมเมอร์–คอลเซ็นเตอร์”...ความตึงเครียดชายแดนทำให้การบังคับใช้กฎหมาย “ไม่สม่ำเสมอ” จุดผ่านแดนย่อย...พื้นที่อิทธิพลทับซ้อน กลายเป็นเขตปลอดภัยชั่วคราวของธุรกิจผิดกฎหมายถัดมา...เครือข่ายฟอกเงิน–ขนเงินสด ภาวะฉุกเฉินกึ่งสงคราม ทำให้การตรวจสอบเส้นทางการเงินทำได้ยากขึ้น แล้วก็มาถึงกลุ่ม “ค้ามนุษย์–ยาเสพติด–อาวุธเถื่อน”...ท่ามกลางความโกลาหลเท่ากับต้นทุนต่ำ ความเสี่ยงต่ำ กำไรสูงนอกจากนี้ยังมีกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นตามแนวชายแดน...เครือข่ายผลประโยชน์ที่อยู่ระหว่างรัฐกับใต้ดิน ความตึงเครียดทำให้ต่อรองอำนาจได้มากขึ้น...มีบทบาทเป็นตัวกลางจำเป็น...ขยายอิทธิพลในพื้นที่ที่รัฐเข้าไม่ถึง และคนบางกลุ่ม? ที่อาจได้ประโยชน์ทางการเมือง ความไม่ชัดเจนเท่ากับเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลัง?อีกกลุ่มที่น่าสนใจ...อุตสาหกรรมความมั่นคงและเครือข่ายธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ผู้จัดหาโลจิสติกส์ บริษัทซ่อมบำรุง-สนับสนุน ธุรกิจเทคโนโลยีเฝ้าระวัง แม้ไม่ใช่ “ผู้ก่อความขัดแย้ง”...แต่สถานการณ์กึ่งสงครามเท่ากับงบประมาณต่อเนื่อง ไม่ต้องผ่านเงื่อนไขสงครามเต็มรูปแบบ บทสรุปสั้นที่สุดมีว่า...“ความไม่ชัดเจน ไม่เคยเป็นกลาง” มันเลือกข้างเสมอและมักเลือกข้าง “ผู้มีอำนาจ เงิน และเครือข่ายใต้ดิน”...ในวันที่ยังไม่เป็นสงครามผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุด ไม่ใช่ทหารในสนาม แต่คือผู้ที่ทำเงินได้จากความคลุมเครือ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อเสียงปืนแม้แต่นัดเดียวการสู้รบไทย-กัมพูชาครั้งนี้รุนแรงจริง แต่ยังไม่ใช่สงคราม และเพราะยังไม่ใช่สงคราม จึงยิ่งต้องตั้งคำถามให้ดังขึ้นว่า...ใครได้ประโยชน์จากความไม่ชัดเจนนี้...เงินจำนวนมหาศาลที่หมุนเวียนในพื้นที่ชายแดนไหลไปทางใด...และรัฐจะปิดช่องว่างไม่ให้ “ทุนมืด” ฉวยโอกาสได้หรือไม่ในวันที่เสียงปืนยังไม่กลายเป็นสงคราม สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน อาจไม่ใช่อาวุธ แต่คือ “เงินที่มองไม่เห็น” และ “อำนาจที่ไม่อยู่ในระบบ”.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม