“วันนี้...ข้าวนาปีลุ่มนํ้ากกนับแสนไร่ เก็บเกี่ยวไปแล้วเป็นส่วนใหญ่โดยที่ไม่มีการวางแผนเป็นระบบในการตรวจสอบสารปนเปื้อนจากหน่วยงานราชการ มีตรวจอยู่บ้างพอเป็นพิธีกรรม มีแต่เสียงร่ำลือว่าผลออกมาแล้วค่าสารโลหะหนักปริ่มๆ แต่ไม่มีใครยืนยัน...เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวนาปีและขายออกไปเรียบร้อยแล้ว ถามว่าหากมีการตรวจสอบพบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานแล้วจะทำอย่างไร การทำหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯในจังหวัดเชียงรายแย่มากๆ?” : “Paskorn Jumlongrach” โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว“ข้าวปนสารหนู” ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นประเด็นสำคัญยิ่ง“ประเทศไทย” อาจไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรมหนัก แต่เราคือประเทศที่มี “เหมืองจำนวนมาก” และเป็นประเทศที่“คนไทย 8 ใน 10 คนกินข้าวทุกวัน”เมื่อแร่ใต้ดินถูกขุดขึ้นมา โลหะพิษจำนวนมากถูกปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ทั้งในรูปน้ำเสีย ฝุ่น หรือกากแร่ที่ตกค้างอยู่ใต้ดิน และเมื่อฝนตก น้ำไหลผ่าน พัดพาสารเหล่านี้ลงสู่ลำห้วย นาข้าว และบ่อบาดาลที่ชาวบ้านใช้น้ำรดนา...โดยไม่รู้เลยว่าความตายค่อยๆซึมอยู่ใต้ผืนนั้นการศึกษาพบว่าในหลายพื้นที่ของไทย โดยเฉพาะ ร่อนพิบูลย์ (นครศรีธรรมราช), แม่ตาว (ตาก), และวังสะพุง (เลย) มีระดับสารหนูในข้าวสูงกว่ามาตรฐานสากลอย่างน่าตกใจ“ร่อนพิบูลย์”...อดีตเมืองเหมืองดีบุกที่มีอายุเกินร้อยปี แม้เหมืองจะปิดไปแล้วกว่า 30 ปี แต่ยังพบสารหนูในข้าวสูงถึง 1.361 มก./กก. ต่ำกว่ามาตรฐาน อย.ไทย (2 มก./กก.) แต่เกินกว่ามาตรฐาน Codex สากลถึงเกือบ 4 เท่า“แม่ตาว”...พื้นที่ชลประทานจากห้วยที่ไหลผ่านเหมืองสังกะสีตอนบน ข้าวมีสารหนูเฉลี่ย 0.316–0.336 มก./กก.พร้อมแคดเมียมที่พุ่งสูงจนน่ากังวล“วังสะพุง”...เหมืองทองคำที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุเขื่อนกักกากแร่แตก ข้าวในพื้นที่มีสารหนูสูงกว่าข้าวทั่วไปถึง 2 เท่า... กรณีข้างต้นเหล่านี้นักวิชาการสะท้อนมุมมองในเรื่องนี้เอาไว้ว่า “ตัวเลขเหล่านี้อาจดูไม่มาก แต่เมื่อข้าวคือสิ่งที่เรากินทุกวัน การสะสมของโลหะหนักในร่างกายจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก...”“เหมืองปิดไม่ได้แปลว่าความเสี่ยงจบ” ด้วยว่าสารหนูและโลหะหนักที่ฝังอยู่ในกากแร่และดิน สามารถแพร่กระจายต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปีหรือเป็นศตวรรษ หากไม่มีการฟื้นฟูที่เป็นระบบข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พบว่า ชาวบ้านในจังหวัดพิจิตรและเลย มีโลหะหนักหลายชนิดในเลือด (As, Hg, CN) เกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และหลายรายเริ่มแสดงอาการของโรคเรื้อรังที่เชื่อมโยงกับการสัมผัสสารเหล่านี้โดยตรงนั่นหมายความว่า แม้จะไม่มีเหมืองเปิดใหม่ การปนเปื้อนจาก “อดีต” ยังคงส่งผลต่อ “อนาคต” ของคนรุ่นหลังไม่รู้จบประเด็นสำคัญมีว่า...“สารหนู” ไม่ใช่โลหะที่หายไปง่ายๆสารหนูแทรกอยู่ในแร่ arsenopyrite (FeAsS) ซึ่งเมื่อโดนน้ำและออกซิเจน จะปลดปล่อยออกมาในรูปที่ “ละลายได้” พืชจึงดูดซึมเข้าสู่รากและสะสมไว้ในเมล็ดข้าวน่าสนใจว่า...ระบบนิเวศของนาข้าวยิ่งเอื้อให้สารหนูละลายได้มาก เพราะ “น้ำขังและออกซิเจนน้อย” ทำให้ข้าวสะสมสารหนูได้มากกว่าธัญพืชอื่นถึง 10 เท่าเมื่อเรากินข้าวเหล่านี้เข้าไป ร่างกายจะสะสมสารหนูในเลือด ตับ ไต และเนื้อเยื่อชั้นลึก อาการไม่ได้แสดงออกในทันที แต่มาอย่างเงียบงันในรูปของมะเร็งผิวหนัง ปอด ตับ และกระเพาะอาหาร...โรคทางระบบประสาท...ความผิดปกติของ DNA และความพิการแต่กำเนิดในทารกนี่คือ “ภัยเงียบ” ที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส แต่ร้ายกาจเกินกว่าที่จะเพิกเฉยกรณีข้าวนาปีลุ่มน้ำกกจึงเป็นปุจฉาสำคัญสะท้อนความมั่นคง...มั่นใจในสุขภาวะ...ความปลอดภัย ใครจะตรวจ “ข้าว” ให้เรา?ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ว่า “ข้าวที่เรากิน”มาจากพื้นที่ใด ปลูกด้วยน้ำจากแหล่งไหน ผ่านการตรวจโลหะหนักหรือไม่...มาตรฐาน อย.ของไทยอาจ “ผ่าน” แต่ในระดับสากลอย่าง Codex Alimentarius กลับ “ตก” ในหลายพื้นที่ นี่จึงเป็นคำถามสำคัญของความมั่นคงทางอาหารในศตวรรษที่ 21เมื่อ “ข้าว” ซึ่งเป็นหัวใจของวัฒนธรรมไทย กลายเป็น “พาหะของสารพิษ” จากอุตสาหกรรม?การตรวจวัดคุณภาพน้ำโดยกรมควบคุมมลพิษและสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พบสาร “หนู” (Arsenic: As) ในน้ำผิวดินและตะกอนของแม่น้ำกก “เกินค่ามาตรฐาน” หลายจุดอย่างต่อเนื่อง...บางจุดสูงกว่ามาตรฐานถึง 4–5 เท่า โดยเฉพาะบริเวณ บ้านจะเด้อ ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงรายตัวเลขนี้อาจเป็นเพียงค่าทางเคมีในเอกสารราชการ...แต่ในเชิงชีวภาพ มันคือสัญญาณเงียบของหายนะที่จะค่อยๆกัดกินชีวิตคนเชียงรายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหากเรายังไม่เริ่มตรวจสอบต้นทางของน้ำ ดิน และข้าวที่ปลูก หากเรายังไม่เรียกร้องการฟื้นฟูพื้นที่เหมืองร้างอย่างจริงจัง หากเรายังคิดว่า “ข้าวทุกเมล็ดปลอดภัย” วันหนึ่งเราอาจต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า...สิ่งที่เราปลูกไว้กินเอง กลับกลายเป็นยาพิษที่เราสร้างไว้ฆ่าตัวเองอย่างช้าๆ“ภัยเงียบจากสารหนูในข้าว” จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเหมืองหรือของนักวิทยาศาสตร์แต่คือเรื่องของเราทุกคน...ทุกคำที่กิน “สารหนู”...ไม่มีวันหายไปเองมันเพียงแค่ “นอนนิ่งในตะกอน” แต่ทุกครั้งที่ฝนตกลงมามันจะถูกปลุกให้ตื่น สร้างผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้อีกครั้ง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม