ฝรั่งบางคนบ่นเข้าหูว่า ภาษาไทย...ยาก ทีแรกผมก็ไม่อยาก เชื่อ แต่เริ่มจะเชื่อ เมื่อฟังเอไอ...อ่านไทย... เนื้อหา ลีลาก็เข้าขั้นปัญญาชนนี่นา! แต่จับไต๋ได้ตอนอ่าน...คำ ธาตุ ว่า ธา...ตุ นี่เองจะยากของฝรั่ง จะง่ายของคนไทย ลองอ่านศัพท์ที่ 47 ในหนังสือ นิพิทนัย ศัพท์อักษร...(ปรัชญา ปานเกตุ เขียน สถาพรบุ๊คส์ พิมพ์ พ.ศ.2568) “จริงใจไม่เม็ดเยอะ” ให้จบ แล้วค่อยมาคุยกันอีกที“เม็ด” หนึ่งหมายถึงสิ่งที่เป็นตุ่ม หรือเป็นก้อนกลมๆขนาดเล็ก เช่น เม็ดกรวด เม็ดทราย ลักษณะนามเรียกสิ่งที่เป็นก้อน เป็นตุ่มเล็กๆ เช่น เพชรเม็ดหนึ่ง สิว 2 เม็ด ไฝ 3 เม็ด“เม็ด” หนึ่งหมายถึงส่วนภายในของผลหรือฝัก หรือรวงที่เพาะเป็นต้นขึ้นได้ เช่น เม็ดมะม่วง เม็ดมะปราง“เมล็ด” ก็ว่า เช่นเมล็ดถั่ว เมล็ดข้าว พบตัวอย่าง “เมล็ด” “เม็ด” และ “เล็ด” ในภาษาไทยปัจจุบันและในวรรณคดี เช่น “เมล็ด” ไตรภูมิพระร่วงมีข้อความว่า“อยู่หึงนานนักตระบัดฝนจึงตก เมื่ออาทิแรกตกเมล็ดหนึ่งเท่าดินธุลี อยู่หึงนานแล้ว จึงตกเมล็ดหนึ่งเท่าพรรณผักกาด อยู่หึงนานเล่าจึงตกเท่าเมล็ดถั่ว”ทั้งมีคำว่า “เล็ด” ซึ่งบางแห่งใช้เหมือนกับคำว่า “เมล็ด” ดังตัวอย่าง “ถ้ายื่นมือล้วงเข้าไปในเนื้อหว้าพอสุดแขนจึงถึงเล็ดในหว้า”บางแห่งใช้เหมือนกับคำว่า “เม็ด” ในปัจจุบัน ดังตัวอย่าง “แลมีแต่เสียงฟ้าร้อง ส่วนว่าฝนมิได้ตกเลยสักเล็ด”“เม็ด” จากสิงหไกรภพ...พระไม่เคยจะเสวยพริกเทศเผ็ด เคี้ยวเข้าเม็ดหนึ่งก็น้ำพระเนตรไหล อ้ายพรานป่าว่าแม่เจ้าอีชาวไพร ยังกะไรบ้านกูอยู่ไม่เคย“เม็ด” จากหนังสือนิติสารสาธก...“ทุเรียนดีเม็ดในเก็บไว้ปลูก จำเภาะถูกกบดีบางยี่ขัน โอ้เวลาเช้าเย็นเคยเห็นกัน นี่นับวันแต่จะไกลอาไลยเกิน”ทั่วไปว่า “เม็ดฝน” หมายถึงหยาดฝน ฝนเริ่มตกเรียกว่า “ลงเม็ด” ฝนหยุดหรือหายตกสนิท เรียก “ขาดเม็ด” “เรียงเม็ด” หมายถึงย่อย เช่น รอให้ข้าวเรียงเม็ดก่อนค่อยทำงานต่อ“เล็ด” จากพระสี่เสาร์กลอนสด...“เคียวเป็นพระขรรค์ กระบายกลายพลัน มงกุฏบ่ช้า หนังโคกกลับกลาย เป็นผ้ากาสา เล็ดถั่วเล็ดงา เป็นเพชรธำมรงค์”ลายผ้านุ่งลักษณะเป็นดอกเล็กๆ สีขาวขนาดเท่าเมล็ดงา กระจายอยู่บนผ้าพื้นสีเข้ม เรียกว่า “เล็ดงา” จากละครนอกเรื่องสังข์ทอง...ภูมีคลี่ผ้าตาโถงนุ่ง คาดพุงเขียวครามงามนักหนา โฉมยงทรงนุ่งตาเล็ดงา ห่มผ้าขาวมุ้งรุงรัง...ภาษาถิ่นใต้ว่า “เล็ดล่อ” หมายถึงมะม่วงหิมพานต์“เม็ดเยอะ” เป็นคำแสลง หนักไปยิ่งกว่านั้น ยังมีความหมายหลายนัยด้วย นัยหนึ่งหมายถึง “เรื่องมาก” มักทำท่า โยกโย้ หยุมหยิม จุกจิก จู้จี้ นัยหนึ่งหมายถึงฤทธิ์มาก มักทำพยศอาละวาดฟาดงวงฟาดงาทั้งสองนัย ยกให้ “เยอะ” เป็นคำหลัก ส่วน “เม็ด” เป็นคำเสริมต่างจากอีกนัยหนึ่งซึ่งให้ “เม็ด” เป็นคำหลัก และมี “เยอะ” เป็นคำขยาย เม็ดในนัยนี้หมายถึงเล่ห์เหลี่ยม เช่นในคำว่า “เม็ดพราย” หรือหมายถึงชั้นเชิง เช่นในคำว่า “ขบเหลี่ยม” หรือที่หมายถึงปกปิดอำพรางใช้ในคำว่า “หมกเม็ด”เช่นพฤติการณ์แห่งโมหะบุรุษใบหน้าสัณฐานเหลี่ยมคนนั้น “ฯพณฯ” มีอุบายถ่ายเทเล่ห์กลเหลือล้นสุดที่จะคณนาเรียกได้ว่าเล่ห์เหลี่ยมสมราคาหน้าเหลี่ยมโดยแท้ข้าแต่พ่อผู้กระดูกคอเสื่อมเอ๋ย ลูกไม้ “เม็ดเยอะ” อย่างพ่อ เผลอร่วงลงคอไปเมื่อไหร่ ก็คงทำได้แต่บ้วนทิ้ง“มุก” จบนี้ อาจารย์ปรัชญา...เขียนไว้ต้นปี...ถึงปลายปีแล้ว หลายอย่างเปลี่ยนไปคนหน้าเหลี่ยมเข้าคุกไปแล้ว...วันสองวันนี้ หากจะอ่านให้ “สะใจเข้ายุคสมัย...จะนึกถึงหน้าคุณหนูอนุทิน คุณฮุน เซน หรือ คุณทรัมป์ก็ใช้ได้ แต่ละท่านเม็ดเยอะพอๆกันคนละร้อยเล่มเกวียน.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม