ผมเห็นด้วยกับการตั้งชื่อ “บทความ” ที่เขียนโดยท่านเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย และเผยแพร่อยู่ในสื่อออนไลน์และสื่อหลักหลายๆ สำนักที่ว่า...“เขียนบทใหม่ของประวัติศาสตร์เพื่อสานต่อมิตรภาพจีน—ไทย”เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในขณะนี้ (13-17 พ.ย.) ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของ นาย สี จิ้นผิง แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพราะเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนอย่างเป็นทางการ “ครั้งแรก” ของ “พระมหากษัตริย์ไทย” นับตั้งแต่ทั้ง 2 ประเทศเริ่มต้นสถาปนาทางการทูตเมื่อ ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) เป็นต้นมาฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เขียนไว้ด้วยว่า “การเยือนครั้งนี้ถือเป็นการเยือนประเทศมหาอำนาจอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สะท้อนชัดว่าผู้นำสูงสุดของไทยให้ความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทย”โดยข้อเท็จจริงแล้วพระราชวงศ์ไทยนับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ก็ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้นำจีนหลายๆท่านเข้าเฝ้าฯในประเทศไทยมาโดยตลอด เช่น ท่าน เติ้ง เสี่ยวผิง, เจียง เจ๋อหมิน, หลี่เผิง, หู จิ่นเทา และ เวิน เจียเปา เป็นต้นเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเขียนไว้อีกตอนหนึ่งว่า “ในปี ค.ศ.2000 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯแทนพระองค์เยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมฉลอง ครบรอบ 25 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน” ทำให้พวกเราชาวไทยนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 25 ปีก่อน ที่รัฐบาลจีนจัดพิธีรับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อย่างยิ่งใหญ่ และสมพระเกียรติสำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ นั้น ก็เคยเสด็จเยือนจีนมาแล้วถึง 3 ครั้ง...โดยครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2530 ได้เสร็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่าง 23 กุมภาพันธ์-8 มีนาคมปีดังกล่าว ณ กรุงปักกิ่งและอีกหลายๆเมืองสำคัญของประเทศจีน...ส่วนอีก 2 ครั้งต่อมาทรงได้รับคำกราบบังคมทูลเชิญโดยตรงในฐานะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารในส่วนของพิธีรับเสด็จอย่างเป็นทางการ ณ มหาศาลาประชาชนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น ก็เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ ถือเป็นการถวายพระเกียรติสูงสุดแด่ในหลวงและพระราชินีของเรา...มีทั้งการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี การตรวจแถวทหารเกียรติยศและการยิงปืนใหญ่สลุต 21 นัด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความเคารพระดับสูงสุดต่อประมุขแห่งรัฐที่มาเยือนที่สำคัญ ขณะท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เดินเข้าเฝ้าฯรับเสด็จในช่วงแรกนั้น...ท่านได้ยิ้มถวายทั้ง 2 พระองค์ด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ... ที่นานๆครั้งเราจะได้เห็นท่านสียิ้ม (กว้างๆ) เช่นนี้สักครั้งหนึ่งต่อมานายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งตามเสด็จในครั้งนี้ในฐานะรัฐมนตรีเกียรติยศ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าวดีแก่ประชาชนชาวไทยว่า “ปธน.สี จิ้นผิง กราบบังคับทูลต่อหน้าพระพักตร์ในหลวง...จีนซื้อข้าวจากประเทศไทยห้าแสนตัน”ผมก็ขอทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หรือที่ ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย ใช้สำนวนว่า การ “เขียนบทใหม่ของประวัติศาสตร์” ไว้ในคอลัมน์นี้เพื่อให้ทั้งคนรุ่นเราและรุ่นหลังได้อ่าน...ดังที่ได้ปฏิบัติมาตลอดเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยของเรานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งแก่ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวจีนที่ผมเชื่อว่าจะเพิ่มพูนความสัมพันธ์และมิตรไมตรีขึ้นอีกหลายๆเท่าจากการเสด็จเยือนจีนของในหลวงและพระราชินีของเราในครั้งนี้ขอบพระคุณอย่างยิ่งเช่นกันสำหรับท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง สำหรับการถวายการต้อนรับที่สุดแสนประทับใจ ซึ่งพวกเราชาวไทยจะจดจำจารึกไว้ตราบกาลนาน."ซูม"คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม