นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์กรณีโรงพยาบาลนพรัตน์ออกประกาศระบุว่ายังไม่พร้อมที่จะดำเนินการวันที่ 1 พ.ย.2568 ตามที่คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่ (อปสข.) เขต 13 กรุงเทพมหานคร ประกาศใช้โมเดลนพรัตน์เป็นแนวทางแก้ไขการบริหารจัดการงบบัตรทองในพื้นที่กรุงเทพตะวันออก ว่า จากการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบบัตรทองของ รพ.นพรัตน์พบปัญหาคือ 1.ผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนกับคลินิกเอกชนปฐมภูมิ 63 แห่ง ซึ่งมี รพ.นพรัตน์เป็นโรงพยาบาลส่งต่อ ครอบคลุมประชากร 350,000 คน ส่วนหนึ่งไม่ได้มา รพ.นพรัตน์ แต่ไปโรงพยาบาลอื่นนอกพื้นที่เฉลี่ยวันละ 120 คน หากใช้โมเดลนพรัตน์ จะต้องกลับมาที่ รพ.นพรัตน์ ส่วนคนไข้ใหม่ที่ต้องนอน รพ.เฉลี่ยวันละ 17 คน นอนเฉลี่ย 5 วันต่อคน 2.ระบบคลินิกปฐมภูมิในเครือข่ายไม่เข้มแข็ง เพราะควรเป็นระบบบริการที่บ้านใกล้ 3.ผลกระทบต่อ รพ.นพรัตน์ที่ต้องตามจ่ายให้กับคนไข้ที่ไปใช้นอกเครือข่าย ทั้งที่ รพ.นพรัตน์รักษาได้ จากปัญหาดังกล่าวจึงต้องแก้ไข เพื่อให้คนไข้ได้รับความสะดวก ไม่ต้องไปรักษาไกล โดยสร้างความเข้มแข็งให้กับคลินิกปฐมภูมิในการดูแลคนไข้ให้เก่งขึ้น หากจำเป็นต้องส่งต่อก็ให้ส่งมาที่ รพ.นพรัตน์ ซึ่งเป็นแม่ข่ายก่อน เรื่องนี้คลินิกเอกชนยอมรับในหลักเกณฑ์และวิธีการแล้วนพ.ณัฐพงศ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รพ.นพรัตน์จะต้องเตรียมกระบวนการภายในให้พร้อมรองรับ กรณีดึงผู้ป่วยที่เคยใช้บริการนอกเครือข่ายกลับมาที่ รพ.นพรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ป่วยนอกเฉลี่ยวันละ 170 คน รวมกับผู้ป่วยนอกเดิมที่ รพ.นพรัตน์รับผิดชอบ วันละ 500 คน รวม 600 กว่าคน ส่วนผู้ป่วยใหม่ที่นอนโรงพยาบาล วันละ 17 คน นอนเฉลี่ย 5 วันต่อคน ซึ่ง รพ.นพรัตน์ ต้องเตรียมแพทย์ พยาบาล สำหรับบริการผู้ป่วยนอกเพิ่ม ทั้งเตรียมเตียงรองรับผู้ป่วยในที่จะเพิ่มขึ้น รวมทั้งต้องเพิ่มนักวิชาการสาธารณสุขที่จะไปสร้างความเข้มแข็งให้กับคลินิกปฐมภูมิ เพิ่มนักการเงินเพื่อมาตรวจการเงินแต่ละวัน และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็ยังไม่สามารถตกลงกับ รพ.นพรัตน์ในเรื่องค่าใช้จ่ายของบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งเรื่องคน อุปกรณ์ทางการแพทย์ ค่ารักษาต่างๆ จึงต้องขอเวลาเตรียมตัวให้ รพ.นพรัตน์วางระบบต่างๆ ให้พร้อม และหาข้อสรุปกับ สปสช.เรื่องค่าใช้จ่าย คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีก 1-2 เดือน หรือภายในเดือน ธ.ค.นี้“กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยินดีที่จะตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการดูแลคนกรุงเทพฯให้ดีที่สุด แต่ รพ.นพรัตน์ต้องคุยกับ สปสช.ว่าจะช่วยกันบริหารจัดการอย่างไร ต้องมีการเตรียมพร้อมให้ดีเพื่อรองรับการบริการผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ทั้งต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพราะต้องดึงผู้ป่วยกลับมาในพื้นที่ หากไม่มีความพร้อมจะยิ่งสร้างความโกลาหล และส่งผลให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการรักษา ทั้งนี้กรมการแพทย์ และโรงพยาบาลในสังกัดพร้อมเป็นฝ่ายสนับสนุน รพ.นพรัตน์ และอยากให้โมเดลนพรัตน์ประสบผลสำเร็จมีประสิทธิภาพ เพราะ กทม.ซึ่งมีเครือข่ายกว่า 8 แสนคนก็สนใจที่อยากร่วมด้วย แต่เมื่อยังไม่มีความพร้อมก็อาจจะยังลังเลใจอยู่” นพ.ณัฐพงศ์กล่าวผู้สื่อข่าวถามว่า หากการประชุมบอร์ด สปสช.วันที่ 3 พ.ย. มีการนำเรื่องโมเดลนพรัตน์ เข้าหารือทั้งที่ รพ.นพรัตน์ประกาศแล้วว่ายังไม่มีความพร้อม นพ.ณัฐพงศ์กล่าวว่า เรื่องความไม่พร้อมของโรงพยาบาลนพรัตน์ ตนได้นำหารือกับ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. และ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัด สธ. แล้ว ซึ่งปลัด สธ. ก็มีความเข้าใจถึงความไม่พร้อม และได้ขอให้ รพ.นพรัตน์หารือกับ สปสช. ให้ชัดเจน ซึ่งหลังจากที่ปลัด สธ.เดินทางกลับจากต่างประเทศแล้ว คาดว่าจะมีการหารือระหว่างปลัด สธ. รพ.นพรัตน์ และ สปสช. ในสัปดาห์หน้า.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่