นับเป็นเหตุสะเทือนใจมาก “เมื่อพะยูนถูกตัดหัวปล่อยทิ้งลอยอืดในทะเลกระบี่” กลายเป็นภาพการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เนื่องจากจัดเป็นสัตว์ทะเลหายากใกล้สูญพันธุ์ได้รับการคุ้มครองเหตุการณ์นี้เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่เดือนหลังเกิดเหตุคล้ายกันใน จ.ภูเก็ต คาดว่าถูกลักลอบฆ่าเพื่อนำเขี้ยวไปทำเครื่องรางของขลังตามความเชื่อ สร้างความกังวลต่อประชาชนและหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมากแม้ประเทศไทยยังไม่พบ “การล่าพะยูนโดยตรง” แต่การลักลอบตัดหัวพะยูนเอาเขี้ยวไปขายในตลาดมืด เพื่อนำไปทำเครื่องรางตามความเชื่อว่า “เขี้ยวและน้ำตาพะยูนมีพลังป้องกันภัยและนำโชคลาภ” เช่นนี้ย่อมเป็นกระแสความนิยมทำให้เกิดการลักลอบล่าพะยูนที่อาจเป็นภัยต่อการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากได้ ถ้าดูตามข้อมูลกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2565 “พบพะยูนเกยตื้น 132 ตัว” เป็นพะยูนที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว 11 ตัว และในปี 2566-2568 พบพะยูนเกยตื้น 112 ตัว ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว 8 ตัว และในเดือน ต.ค. อีก 1 ตัว ดังนั้น ในช่วง 10 ปีมานี้พะยูนไทยสังเวยความเชื่อถูกตัดหัวแล้ว 20 ตัวกลายเป็นภัยกระทบต่อพะยูนใกล้สูญพันธุ์ลงเรื่อยๆ “ทีมสกู๊ปข่าว” ได้พูดคุยกับนักสะสมของเก่าเล่าว่า พะยูนถูกตัดหัวมักต้องการเขี้ยวนำไปทำหัวแหวน หรือหัวเข็มขัดตามความเชื่อเป็นเครื่องรางที่ให้พลังด้านต่างๆโดยเฉพาะกลุ่มชาวเลที่เชื่อกันว่า “เขี้ยวพะยูนสามารถปกป้องคุ้มครองภัย” ขณะออกทะเลช่วยให้แคล้วคลาดจากอันตราย กลายเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้มีการลักลอบล่าพะยูน เพื่อเอาเขี้ยวไปใช้ในลักษณะดังกล่าวกรณีพะยูนถูกตัดหัวนอกจาก “เขี้ยวมีมูลค่าสูงเป็นที่ต้องการแล้ว” ก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนของพะยูนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเชื่อด้านไสยศาสตร์ หรือสายมูเตลู มักเชื่อว่า “เขี้ยวพะยูน” ให้พลังด้านเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ และความโชคดี ทำให้มักถูกนำไปเจียระไนเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อนำไปทำเครื่องประดับอย่างเช่น หัวแหวนหรือหัวเข็มขัด จะช่วยเสริมพลังตามความเชื่อแต่ละกลุ่มนอกจากนี้ฟันซี่เล็กๆพะยูนก็มีมูลค่ารองลงมามักถูกนำไปใช้ทำเป็นเครื่องประดับขนาดเล็กด้วยเช่นกัน แม้แต่กะโหลกพะยูนก็มีผู้นิยมสะสม ทำให้ทุกส่วนของพะยูนเป็นเป้าหมายการล่า เพราะเป็นสัตว์ที่มีจำนวนน้อย ชิ้นส่วนจึงหายากมีมูลค่าสูงในตลาดมืด เมื่อผสมผสานกับ “ความเชื่อด้านไสยศาสตร์และความศักดิ์สิทธิ์ที่สืบต่อกันมา” ถูกนำไปทำเป็นเครื่องประดับประกอบพิธีปลุกเสกยิ่งเพิ่มความขลังมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามลักษณะความเชื่อมักจะแตกต่างกันไปตาม “กลุ่มวัฒนธรรมและศาสนา” อย่างในกลุ่มชาวเลที่นับถือศาสนาอิสลามจะไม่นิยมผ่านการปลุกเสกเพราะเชื่อว่า “เขี้ยวพะยูนหายากมีพลังในตัว” ลักษณะคล้ายเขี้ยวหมูป่าตันที่เคยถูกยกให้เป็นของขลังมีพลังอำนาจพิเศษ ส่วนกลุ่มนับถือศาสนาพุทธมักนำชิ้นส่วนไปประกอบพิธีปลุกเสกเสริมพลังให้วัตถุขลังยิ่งขึ้นทว่ากลุ่มผู้เล่นโดยมากคือ“ผู้มีความเชื่อไสยศาสตร์ และผู้สะสมวัตถุหายาก หรือของแปลก” สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มแรก...“ชาวเลภาคใต้” จากความเชื่อดั้งเดิมหากมีเขี้ยวพะยูนติดตัว หรืออยู่ในเรือจะช่วยคุ้มครองป้องกันภัยในการออกทะเล ทำให้เดินเรือแคล้วคลาดอันตราย ถูกสืบทอดมารุ่นต่อรุ่นในชุมชนชายฝั่งกลุ่มที่สอง...“ผู้เชื่อไสยศาสตร์ทั่วไป” กลุ่มนี้กระจายอยู่ทั่วประเทศถูกเล่าต่อกันมาว่า “เขี้ยวพะยูน” มักมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ บารมี เพียงแต่การซื้อขายมักทำอย่างลับๆ เพราะผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ทำให้ซื้อขายผ่านเครือข่ายนักสะสม หรือพ่อค้าคนกลางในวงแคบๆส่วนราคาขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ “เขี้ยวใหญ่ หรืองาพะยูนจะมีมูลค่าสูงถึงหลักหมื่น-หลักแสนบาท” เนื่องจากความหายากสามารถพบได้ในพะยูนตัวเต็มวัย โดยเฉพาะตัวผู้ที่จะมีลักษณะของฟันเขี้ยวที่เห็นได้ชัดเจน แล้วเขี้ยวชิ้นใหญ่สมบูรณ์จะนำไปเจียระไนจะมีราคาซื้อขายสูงถึง 60,000 บาทต่อชิ้นขณะที่ส่วนเขี้ยวฟันถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆหากยังไม่ผ่านเจียระไนราคาจะอยู่ที่ 3,000-10,000 บาทต่อชิ้น ดังนั้นแม้การครอบครองเขี้ยวพะยูนจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายก็ตาม แต่ก็ยังมีการลักลอบซื้อ-ขายกันในตลาดมืดของกลุ่มนักสะสมและผู้มีความเชื่อในด้านเครื่องรางของขลังสำหรับวัตถุจากสัตว์ทะเลหายากที่มีข่าวปรากฏอยู่ตลอดไม่เท่านั้นยังมีความเชื่อ “เรื่องน้ำตาพะยูน” หากใครเก็บได้จะนำมาซึ่งพลังแห่งเสน่ห์ เมตตามหานิยม ทำให้คนรักคนหลงลักษณะคล้ายกับความเชื่อ “เรื่องน้ำมันพราย” แต่ว่าเป็นความเชื่อพื้นถิ่นถูกจัดอยู่ในเรื่องเล่ามากกว่าจะมีหลักฐานที่ยืนยันในเชิงวิทยาศาสตร์ของข้อเท็จจริง ด้วยพะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม “การหลั่งน้ำตามีปริมาณน้อยมาก” ส่วนใหญ่จะเกิดจากการปกป้องดวงตา สิ่งระคายเคือง อารมณ์ความเจ็บปวด แล้วการเก็บน้ำตาพะยูนตามความเชื่อต้องเก็บจากตัวที่มีชีวิตอยู่แต่ในทางปฏิบัติแล้วการเข้าใกล้กับพะยูนมีชีวิตนั้นเป็นการรบกวน หรือทำร้ายสัตว์สงวนผิดกฎหมายทำให้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า “มีผู้ใดสามารถเก็บน้ำตาพะยูนได้จริง” จึงอาจกล่าวได้ว่าวัตถุนี้น่าจะเป็นเพียงตำนาน หรือความเชื่อที่เล่าต่อกันมามากกว่าจะเป็นของที่มีอยู่จริงในตลาดเครื่องรางของขลังต่อมาคือ “กัลปังหา” ก็จัดเป็นของมีพลังในตัวแม้ไม่ได้ปลุกเสกเช่นเดียวกับ “งาช้าง” ถูกนำมาทำเป็นเครื่องรางยิ่งปลุกเสกยิ่งมีพลังสูง ในทางพุทธคุณเชื่อว่าเรียกโชคลาภ ป้องกันภูตผีปีศาจ ส่วนกัลปังหานิยมคือ “สีดำ” หาไม่ยากราคาถูก “สีทองดำ” พุทธคุณสูงหายาก “สีขาว” หายากราคาแพง “สีแดง” สุดยอดหายากพุทธคุณสูงทุกด้านสุดท้ายนี้แม้ความเชื่อ “ในพลังวัตถุธรรมชาติเป็นความศรัทธาที่สืบทอดกันมาทางวัฒนธรรม” แต่ในมุมมองการอนุรักษ์สิ่งเหล่านี้กลับเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะพะยูนเป็นสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ถูกจัดอยู่ในสถานะสัตว์สงวนตามกฎหมาย และมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลกเช่นนี้การนำพะยูนเพียงเพื่อเอาเขี้ยวไปทำเครื่องประดับหรือของขลังไม่ต่างจากการฆ่าช้างเพื่อเอางา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไร้มนุษยธรรม และขัดต่อหลักการอนุรักษ์อย่างสิ้นเชิง “กัลปังหา” ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่เปราะบาง ถูกมองเป็นเครื่องประดับหายากแต่แท้จริงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เจริญเติบโตช้ามีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทะเลฉะนั้นกฎหมายไทย “การล่า ครอบครอง ค้าเขี้ยวพะยูน และกัลปังหา” ล้วนเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ และเครื่องประดับจากการฆ่าสัตว์ไม่ควรถูกเรียกว่า “เครื่องรางของขลัง” แต่ควรถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้าย และทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร้ความรับผิดชอบ...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม