ฝนที่ตกต่อเนื่อง จนเกิดน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝนปีนี้ ไล่มาถึงภาคกลาง ขณะนี้กำลังจ่อเข้าสู่จังหวัดปริมณฑล และกรุงเทพฯทำให้คนไทยหวั่นใจว่าปีนี้อาจเกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 54 หรือไม่?? เพราะภาพความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นยังคงตามหลอน และกลายเป็นภาพจำที่ไม่อาจลืมเลือนจากการติดตามข้อมูลฝน และน้ำจาก “คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ” เว็บไซต์ Thaiwater.net ของ “สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)” หรือ สสน. รวมถึงข้อมูลจาก “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ” (สทนช.), “กรมชลประทาน” และ “กรมอุตุนิยมวิทยา” พบว่าปี 68 ฤดูฝนเริ่มต้นเดือน พ.ค.-พ.ย.68 คาดการณ์ปริมาณฝนไว้ที่ 1,600 มิลลิเมตร (มม.) มากกว่าค่าปกติ (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 30 ปี ตั้งแต่ปี 34-63 ที่มีปริมาณ 1,500 มม.) เพียง 100 มม. หรือ 7% โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง จะมีฝนมากกว่าปกติ ขณะที่ปี 54 ฤดูฝนมาเร็วกว่าปกติตั้งแต่เดือน มี.ค. มีปริมาณฝนรวมถึง 1,826 มม. มากกว่าปกติ 25% เพราะมีพายุเข้าไทยถึง 5 ลูก จากปกติ 1-2 ลูก มีร่องมรสุมพาดผ่าน และยังเกิดลานีญา ที่ทำให้ไทยมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เขื่อนขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศ มีน้ำถึง 71,769 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) สูงสุดเป็นประวัติการณ์!! เกินความสามารถเก็บได้ที่ 70,926 ล้าน ลบ.ม.โดยเฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมภาคเหนือและภาคกลาง ประกอบกับ มีน้ำทะเลหนุน ทำให้การระบายน้ำออกจากเขื่อนมีข้อจำกัด จนเกิดน้ำล้นเขื่อนถึง 21 แห่งสำหรับปี 68 ล่าสุด ณ วันที่ 20 ก.ย.68 มีน้ำไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 55,538 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 78% ของระดับน้ำเก็บกัก (รนก.) ทั้งหมดที่ 70,926 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้น 6,434 ล้าน ลบ.ม. เทียบช่วงเดียวกันของปี 67 ที่มี 49,104 ล้าน ลบ.ม. และยังรับน้ำได้อีกราว 15,598 ล้าน ลบ.ม.ขณะที่ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีน้ำรวม 20,496 ล้าน ลบ.ม. หรือ 82% เพิ่มขึ้น 4,453 ล้าน ลบ.ม. จากปีก่อนที่มี 16,043 ล้าน ลบ.ม. หรือ 63% ยังรับน้ำได้อีก 4,375 ล้าน ลบ.ม. จากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำที่มีมาก และบางแห่งเข้าขั้นวิกฤติ โดยเฉพาะภาคเหนือ 83% ของ รนก., ภาคอีสาน 71%, ภาคกลาง 63%, ภาคตะวันตก 82% และ 4 เขื่อนลุ่มนํ้าเจ้าพระยา ประกอบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาฝนตกต่อเนื่องแทบทุกภาคของประเทศ รวมทั้งตกหนักมากในกรุงเทพฯและปริมณฑล อีกทั้งวันที่ 19-26 ก.ย. เฝ้าระวังฝนตกหนักและหนักมากในภาคตะวันออก กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงตาก เพชรบูรณ์ พิษณุโลก น่าน เลย ชัยภูมิ จันทบุรี ตราด ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมขังในชุมชนเมือง น้ำรอการระบายกรมชลประทานจึงเพิ่มการระบายน้ำเป็นไม่เกิน 2,500 ลบ.ม./วินาที จากเดิมไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงขึ้น 0.10-0.30 เมตรจนล้นตลิ่ง และน้ำท่วมหลายจังหวัด ทั้งอุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี อยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพฯแต่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น และเกิดในพื้นที่ลุ่มต่ำที่น้ำท่วมเป็นประจำทุกปี!! หากไม่มีฝนตกเพิ่มเติม กรมชลประทานจะลดปริมาณการระบายตามลำดับนอกจากนี้ ต้องจับตาใกล้ชิดน้ำล้นตลิ่งของแม่น้ำยม แม่น้ำแควน้อย คลองวังใส พิษณุโลก, แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน พิจิตร, แม่น้ำป่าสัก เพชรบูรณ์, ห้วยหลวง อุดรธานี, แม่น้ำชี ยโสธร, ลำน้ำปาว กาฬสินธุ์ โดยหลายพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง พร้อมทั้งระวังระดับน้ำในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นจากฝนที่ตกในลาว ซึ่งจะกระทบหลายจังหวัดริมโขงแม้น้ำท่วมขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกปีช่วงหน้าฝน แต่ยังเหลืออีก 2 เดือนกว่าจะสิ้นฤดูฝน อาจเกิดน้ำท่วมหนักมากขึ้นได้อีกนั้นข้อมูลคาดการณ์ฝน 6 เดือน (ก.ย.68-ก.พ.69) ชี้ว่า เดือน ก.ย.68 ที่ฝนตกมาก เพราะมีพายุนั้น ยังน้อยกว่าปกติ 23 มม. ส่วนเดือน ต.ค.-ธ.ค.68 มากกว่าปกติ 48 มม., 8 มม. และ 2 มม. ตามลำดับ เดือน ม.ค.69 น้อยกว่าปกติ 9 มม. และเดือน ก.พ.69 มากกว่าค่าปกติ 20 มม.ดังนั้น จึงอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขังได้อีก แต่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำ และเตรียมแผนรับมืออย่างดีที่สุด เพื่อลดผลกระทบทุกภาคส่วนให้มากที่สุด และเตรียมน้ำไว้ใช้อย่างเพียงพอช่วงหน้าแล้งปี 69จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ย้ำให้เห็นว่าปีนี้น้ำจะไม่ท่วมหนักเหมือนปี 54 เพราะปริมาณฝน และน้ำในเขื่อนน้อยกว่ามาก แต่น้ำท่วมขณะนี้เป็นสถานการณ์ปกติที่เกิดขึ้นทุกปี และมาเร็ว ไปเร็ว!!สิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์อ่าน “The Issues” เพิ่มเติม