ทหารนำสื่อมวลชนไทยลงพื้นที่บริเวณแนวลวดหนามบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว จุดที่เกิดเหตุรุนแรงเมื่อสองวันก่อนแฉ “กำนันลี” อยู่เบื้องหลังม็อบกัมพูชาที่มาป่วนไทย ที่มีนายอุม เรียไตร ผวจ.บันเตียเมียนเจย รวมอยู่ด้วย กัมพูชาจ่อเปิดศึกกับไทยอีกรอบ ที่ตาพระยานำเด็ก-คนแก่เป็นโล่มนุษย์ ขณะที่โดรนกัมพูชายังบินว่อนล้ำแดนไทยหลายสิบลำ ผบ.ทสส. และผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ เห็นพ้องต้องกันปิดด่านยาวไป ผบ.ทร.แฉกาสิโนกัมพูชาล้ำแดนไทย “วินธัย” อัดกัมพูชาไม่จริงใจสงบศึก ซัด “ฮุน มาเนต” เป่าหูผู้นำมาเลย์ความคืบหน้าสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ทีี่มีความตึงเครียดมาหลายวัน ล่าสุด ตั้งแต่เช้าจนค่ำวันที่ 18 ก.ย. ฝั่งกัมพูชาเกณฑ์ชาวบ้านจำนวนมาก ทั้งเด็กแว้นแก๊ง “นกคุ้มหลี” ที่ขี่ จยย.มารวมพล ทั้งคนนุ่งเหลืองห่มเหลืองที่ส่วนหนึ่งเป็นทหารกัมพูชาแต่ปลอมตัวเป็นพระมาสืบข่าวความเคลื่อนไหวของฝั่งไทยรวมกว่า 500 คน ในจำนวนนี้มีนายอุม เรียไตร ผวจ.บันเตียเมียนเจย รวมอยู่ด้วย มีการ แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น ท่อนไม้และไม้ตะขอ มาซักซ้อมวิธีการรื้อทำลายลวดหนามของฝ่ายไทย พร้อมตะโกนด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ไทยที่มีทั้ง อส.ตชด.และทหารหมดความอดทนอดกลั้น แต่ฝ่ายไทย ไม่หลงกลใช้ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวแก๊งแครอทแห่ทำคอนเทนต์ในเวลา 07.30 น. วันที่ 19 ก.ย. ทหารกองกำลังบูรพา จัดกำลังบินตรวจการณ์ทางอากาศ สำรวจพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว ประเมินสถานการณ์ติดตามความเคลื่อนไหวของฝั่งกัมพูชาอย่างใกล้ชิด หลังจากเมื่อเวลา 4 ทุ่มคืนวันที่ 18 ก.ย. มีกลุ่มมวลชนกัมพูชาหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “แก๊งแครอท” ปักหลักอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว บางส่วนเข้าไปจับจองพื้นที่วัดและสถานที่สาธารณะ ถ่ายทำคอนเทนต์เผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลสร้างกระแสให้ชาวกัมพูชาลุกฮือกดดันฝ่ายไทย ขณะที่ฝั่งไทยเตรียมพร้อมรับมือทั้งรถกู้ภัยและรถพยาบาลหากเกิดเหตุปะทะรุนแรงขึ้นEOD เก็บกู้ระเบิดบ้านหนองจานส่วนบรรยากาศที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง เจ้าหน้าที่กองร้อย (อส.) และทหารพร้อมด้วยรถเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) เข้าตรวจสอบพื้นที่บ้านเจ็ดหลังในบ้านหนองจาน ชุด EOD ได้เก็บกู้ระเบิด เพื่อให้ชาวบ้านสามารถเข้าไปทำมาหากิน ใช้ชีวิตในพื้นที่ของตนเองได้อย่างปลอดภัย เจ้าหน้าที่กล่าวยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้มีความรอบคอบและเข้มงวดตามมาตรการความปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อประชาชน พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจให้ชาวบ้านว่า เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายยังคงยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาความสงบ ความมั่นคงของชายแดนไทย-กัมพูชานำสื่อไทยดูจุดปะทะ 16–17 ก.ย.วันเดียวกันศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกและกองกำลังบูรพา นำสื่อมวลชนไทยลงพื้นที่บริเวณแนวลวดหนามบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตรงข้ามบ้านเปรยจันของกัมพูชา จุดที่เกิดเหตุความรุนแรงเมื่อวันที่ 16-17 ก.ย. พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผบ.ฉก.อรัญประเทศ ที่นำคณะไป เล่าถึงเหตุการณ์วันดังกล่าวให้สื่อมวลชนไทยฟังว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทหารมีหน้าที่เพียงเสริมแนวรั้วป้องกันแนวเขตที่ถูกทำลาย ผู้ปฏิบัติหน้าที่ระงับเหตุคือตำรวจ ที่ต้องมาดำเนินการผู้ที่ทำผิดกฎหมาย ยืนยันเราไม่ได้เสียเปรียบ แต่เป็นการปฏิบัติตามยุทธวิธี เพราะทหารต้องรบกับทหารเท่านั้น เรื่องประชาชนที่กระทำผิดให้เป็นหน้าที่ตำรวจ หากใช้ทหารไปสู้กับประชาชนจะเป็นการเพลี่ยงพล้ำและจะทำให้แพ้ในเวทีโลก เหตุการณ์ดังกล่าวเรามีการพูดคุยกับพลตรีเชิงตุม ฝั่งนั้นรับทราบแต่ไม่ได้ตอบตกลงว่าห้าม มาปลุกระดมตรงนี้ สำหรับพื้นที่ที่ถูกรุกล้ำเอาคืนมาได้แล้วประมาณ 100 ไร่ เหลืออีก 25 ไร่ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนการประชุม JBC ที่จะเกิดขึ้นแฉ “กำนันลี” อยู่เบื้องหลังม็อบ กพช.พ.อ.ชัยณรงคฺ์กล่าวด้วยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มมวลชนที่ถูกเกณฑ์มาก่อความวุ่นวาย คือ “กำนันลี” แต่ยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังระดับสูงกว่านั้น ทว่าไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นคนที่เสียผลประโยชน์เนื่องจากพื้นที่ที่เรายึดคืนมาอยู่ใกล้กับกลุ่มธุรกิจของจีนเทา และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ขยายมาจากปอยเปต มาเปิดเครือข่ายใหม่ตรงบริเวณนี้ จากนั้น พ.อ.ชัยณรงค์พาสื่อไปดูฐานทัพเดิมของกัมพูชาที่รุกล้ำ ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง ทางการไทยได้รื้อถอนและผลักดันทหารกัมพูชาให้ถอยร่นออกไปประมาณ 500 เมตร และพาสื่อไปยังแนวรั้วลวดหนามในเขตอธิปไตยของไทย ขณะที่ทหารไทยดึงสแลนสีดำออกให้สื่อดู ปรากฏว่ามีชาวกัมพูชาส่งเสียงเรียกพวกมายืนสังเกตการณ์และบันทึกภาพ รวมทั้งมีสื่อมวลชนฝั่งกัมพูชามาถ่ายทำและโบกมือทักทายสื่อไทย บางพื้นที่มีป้ายข้อความเรียกร้องต่อต้านฝ่ายไทยด้วย ขณะที่มีเด็กกัมพูชาคนหนึ่งปีนต้นไม้ พร้อมชูนิ้วกลางให้เจ้าหน้าที่และสื่อไทย รวมถึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปความเคลื่อนไหวของฝั่งไทยอีกด้วยนำเด็ก–คนแก่เป็นโล่มนุษย์อีกด้านเวลา 15.20 น. กัมพูชาจ่อเปิดศึกกับไทยอีกด้านในพื้นที่ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว มีชาวกัมพูชาพากันถือท่อนไม้มารวมพลในพื้นที่บ้านบึงตากวน อ.ตาพระยา อยู่ติดกับบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ประมาณ 40 กิโล มีการเกณฑ์เด็กและผู้สูงอายุเข้าร่วมม็อบ ทำให้สถานการณ์มีความซับซ้อนและอ่อนไหวมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการปรากฏตัวของกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ อาจถูกมองว่าเป็นการใช้ “โล่มนุษย์” ในการสร้างแรงกดดันต่อฝ่ายไทย ชาวบ้านกัมพูชาพากันถ่ายคลิปไลฟ์สถานการณ์อยู่เป็นระยะ ทำให้บรรยากาศในพื้นที่ตึงเครียดทหารเตรียมมาตรการรับมือขณะที่กำลังพลของกองกำลังบูรพาและหน่วยงานความมั่นคง เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและรายงานสถานการณ์ไปยังศูนย์บัญชาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินท่าทีของฝ่ายกัมพูชาและเตรียมมาตรการรับมือ หากเกิดความเคลื่อนไหวใดๆที่อาจกระทบต่อความมั่นคงและอธิปไตยของไทย ประชาชนในพื้นที่ฝั่งไทยโดยเฉพาะบ้านหนองหญ้าแก้ว ต่างจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด บางส่วนเริ่มแสดงความกังวลต่อการนำเด็กและผู้สูงอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะอาจกลายเป็นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในเวทีระหว่างประเทศ หากเกิดเหตุปะทะขึ้นจริงโดรนกัมพูชาบินว่อนล้ำแดนไทยทางด้านเพจเฟซบุ๊กของกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 19 ก.ย.68 (เวลา 14.00 น.) ระบุใจความสำคัญบางช่วงว่า “สถานการณ์โดยรวมตรวจพบความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา โดยพบโดรนบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหาร-โดนตวล 12 ลำ ปราสาทตาควาย 15 ลำ ช่องสายตะกู 1 ลำ ปัจจุบันกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง ฝ่ายไทยจัดกำลังพลประจำจุดเฝ้าตรวจตามเหตุการณ์ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตอบโต้ตามสถานการณ์ กองทัพภาคที่ 2 ขอความ ร่วมมือพี่น้องประชาชน เพื่อป้องกันการรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน บิดเบือน หรือข่าวปลอม ขอให้ประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ติดตามข้อมูลจากช่องทางทางการของส่วนราชการ ที่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้องและทันเวลาชาวบ้านตาเมียงเก็บของอพยพผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังหมู่บ้านตาเมียงและหมู่บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ พบประชาชนยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ แม้จะรู้สึกหวาดระแวงว่าจะเกิดการสู้รบอีกครั้งในเร็วๆนี้ แต่ชาวบ้านมีความพร้อมตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตระหนก เพราะมีประสบการณ์อพยพมาแล้ว ต่างเตรียมสิ่งของจำเป็นใส่กระเป๋าไว้ตลอดเวลา หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นก็พร้อมจะอพยพออกจากพื้นที่ได้ทันทีทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลกับทหาร รีบจัดการปัญหาชายแดนให้จบโดยเร็ว โดยเฉพาะพื้นที่ปราสาทตาควายให้ยึดกลับมาเป็นของไทยคืนให้ได้ทั้งหมดคบท.เห็นชอบปิดด่านยาวที่กองบัญชาการกองทัพไทยเวลา 09.30 น. มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) ประกอบด้วย ผบ.ทสส. ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. และเสนาธิการทหาร พร้อมเชิญคณะผู้บัญชาการทางทหารชุดใหม่ร่วมประชุมหารือ 3 ประเด็นสำคัญคือ 1.การปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้า ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเห็นชอบให้คงสภาพปัจจุบันในการปิดด่าน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือกัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป 2.ปัจจุบันกัมพูชาถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงชาติ จัดทำรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา มีข้อสรุปการสร้างรั้วชายแดน ควรสร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันได้แล้ว ส่วนพื้นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนว 3.แนวทางต่อการละเมิดอธิปไตยไทย มีข้อสรุปคือ การดำ เนินการตามกฎการใช้กำลังสากล เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ หรือเจตนาเป็นปรปักษ์ โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนม หรือเตรียมโจมตี ตามกฎการใช้กำลังสามารถใช้เป็นเหตุเริ่มการป้องกันตนเองได้ ได้วางมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับนำเสนอแนวทางการปฏิบัติไปยัง รมว.กลาโหมแล้วผบ.ทร.แฉกาสิโนกัมพูชาล้ำแดนไทยที่กองทัพไทย พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. กล่าวถึงพื้นที่พิพาทชายแดนจันทบุรี-ตราด ที่อยู่ในความรับผิดชอบกองทัพเรือ โดยเฉพาะการสร้างกาสิโน ที่รุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิไทยว่า อยากให้สื่อมวลชนลงไปดูพื้นที่จริง จ.ตราด มีหลายจุดที่เคลมซ้อนกันอยู่ ผู้รับผิดชอบทำหนังสือประท้วง แต่ผลการประท้วงไม่เกิดผลมีอยู่หลายพื้นที่ ตั้งแต่บริเวณเขื่อนและอาคารทั้งขนาดเล็กหรือใหญ่ ต้องไปเจรจากับกัมพูชาจะจัดการพื้นที่ดังกล่าวอย่างไร ให้เกิดความชัดเจน ขณะนี้อยู่ในโหมดการเจรจา เราต้องเคารพกติกา แต่หากเจรจาไม่รู้เรื่อง ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะปรับโหมดหรือไม่ รวมถึงนานาชาติจะให้ทำอย่างไรต่อไป ให้แต่ละประเทศรู้ว่า อาณาเขตตัวเองเป็นอย่างไร และกัมพูชาจะมาร่วมสำรวจเส้นเขตแดนที่ชัดเจนหรือไม่ หากเข้าร่วมจะเป็นช่องทางไปสู่แนวทางสันติ หากไม่ร่วมจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตไทยปล่อยให้สร้างกาสิโนขนาดใหญ่ได้อย่างไรและมีการตัดถนนเชื่อมอีก ผบ.ทร.ตอบว่า ทั้งหมดอยู่ที่ข้อตกลง หากคุยกันรู้เรื่อง ต้องการจะรื้อหรือทุบครึ่งหนึ่ง หรือใช้อาคารร่วมกันคนละครึ่งต้องรอเจรจา เมื่อถามว่าตัวอาคารกาสิโนเป็นของไทยครึ่งหนึ่งใช่หรือไม่ พล.ร.อ.จิรพลตอบว่า อยู่ที่กัมพูชาจะยอมรับหรือไม่ ปัจจุบันไม่ยอมรับ หากยึดตามเส้นที่เราขีดเอาไว้ กาสิโนล้ำแดนของเราเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิดเมื่อถามว่ามีโอกาสจะปะทะกันในพื้นที่หรือไม่ พล.ร.อ.จิรพลตอบว่า ทุกกองกำลังเตรียมพร้อมอยู่ เพราะยังไม่มีความเรียบร้อยในพื้นที่ฝั่งกองทัพภาค2 แต่ในฝั่งกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) การขยับกำลังไม่เหมือนฝั่งอีสานใต้ ถ้าฝั่งอีสานใต้เคลื่อนไหว เราก็เคลื่อนไหวตาม ขึ้นอยู่กับการติดตามสถานการณ์ ส่วนการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ทหารกัมพูชาทิ้งไว้ ในช่วงการปะทะนั้น ยอมรับว่าการเข้าไปในพื้นที่ค่อนข้างลำบากมีสนามทุ่นระเบิดจำนวนมาก ต้องค่อยๆเคลียร์พื้นที่ แต่สั่งการไปแล้วว่าให้ดำเนินการกับพื้นที่ดังกล่าวอย่างไร ส่วนเรื่องผ่อนปรนด่านชายแดนจันทบุรีและตราดนั้น ที่ประชุม ผบ.เหล่าทัพ เห็นชอบร่วมกันยังคงปิดด่าน จนกว่ากัมพูชาจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทย เมื่อถามว่าจะไม่มีการผ่อนปรนสินค้าใดๆใช่หรือไม่ พล.ร.อ.จิรพลตอบว่า สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงคิดตอนนี้คือ กัมพูชายังเป็นภัยคุกคาม จึงยังไม่คุยเรื่องการเปิดด่านให้ ผบ.ทบ.ใช้กฎอัยการศึกเปิด–ปิดด่านพล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทสส. กล่าวถึงกรณีอำนาจการเปิด-ปิดด่านชายแดนเป็นของ ผบ.ทสส.ใช่หรือไม่ว่า เรื่องการเปิด-ปิดด่านเกิดขึ้นภายหลังวันที่ 6 มิ.ย.2568 ที่มีการประชุม สมช. มีการเสนอให้ ผบ.ทบ.เป็นผู้ควบคุมแนวชายแดน ทั้งปฏิบัติทางการทหาร การเปิด-ปิดด่าน และอำนาจที่พูดคุยกันล่าสุดอยู่ในมือของ ผบ.ทบ.ในการใช้กฎอัยการศึกเปิด-ปิดด่านได้ในทุกพื้นที่กองทัพบกดูแลอยู่หนุนสร้างรั้วชายแดนแก้ปัญหาพล.อ.ทรงวิทย์กล่าวว่า ส่วนการสร้างรั้วชายแดนนั้น ต้องไปถกเรื่องเส้นเขตแดนและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นหน้าที่ สมช. เรายืนยันชัดเจนว่าคณะผู้บัญชาการทหารเห็นว่ามีความจำเป็นต่อการปกป้องอธิปไตยจากภัยคุกคามไม่ใช่เพียงแค่เขตแนวนี้เท่านั้น ยังมีเขตพื้นที่หลายแนวที่ไม่สามารถใช้ทหารลาด ตระเวนได้ตลอด ในพื้นที่ที่เคยมีภัยคุกคามรอบประเทศไทย เช่น ตอนใต้ประเทศที่คิดว่ามีภัยคุกคามเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วก็สร้างรั้วขึ้นมา ถือเป็นมาตรการทำให้การเคลื่อนที่ผ่านแดนโดยผิดกฎหมายยากขึ้น คิดว่าจำเป็นและนโยบายระหว่างความมั่นคงรัฐคงเห็นความจำเป็นกองทัพจุดนี้เช่นกันอาเซียนให้คงช่องทางทวิภาคีที่กระทรวงการต่างประเทศ เวลา 11.00 น. นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กรณีพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ว่า ที่ผ่านมาไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงเคร่งครัดปูทางไปสู่สันติภาพ แม้สถานการณ์สงบลง แต่กัมพูชายั่วยุในรูปแบบต่างๆ ปลุกระดมประชาชนเป็นโล่ห์มนุษย์ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ จนเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของไทยต้องระงับเหตุการณ์ตามหลักสากล ไทยผิดหวังที่กัมพูชาเลือกเส้นทางความขัดแย้ง สวนทางข้อตกลงหยุดยิง ประธานอาเซียนได้หารือนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อคืนวันที่ 18 ก.ย.ในการคงช่องทางกลไกหารือทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ เป็นสิ่งที่ไทยพยายามรักษามาโดยตลอด ไทย มุ่งมั่นแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี ภายใต้กฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลใช้กลไกทวิภาคีและการสื่อสารระหว่างนายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ รมว.กลาโหม ผู้นำเหล่าทัพ หวังว่ากัมพูชาจะใช้เวทีระหว่างประเทศต่างๆ ทั้งการประชุมสหประชาชาติ การประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุมเขตเศรษฐกิจพิเศษเอเปกพิสูจน์ความจริงใจแก้ไขปัญหา ขอให้กัมพูชายุติพฤติกรรมก่อความขัดแย้งและความตึงเครียด ในการหาทางออกร่วมกัน“วินธัย” ยันกัมพูชาล้ำอธิปไตยไทยที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) วันเดียวกัน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า สถานการณ์ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ต้องแยกให้ออกระหว่างพื้นที่ที่กำลังดำเนินการ ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อ้างสิทธิ์พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน เป็นพื้นที่อธิปไตยไทยที่เราต้องดำเนินการรั้วลวดหนามที่วางไว้อยู่ในเขตอธิปไตยไทย เพื่อรักษาความปลอดภัยกำลังพลรวมและหน่วยที่ตั้ง กัมพูชาล้ำเข้ามา 200 เมตร อยากดำเนินการจุดนี้ก่อน เพราะเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่กัมพูชาดำเนินการให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวน่าจะมีเบื้องหลังทบ.อัดกัมพูชาไม่จริงใจสงบศึกที่กองบัญชาการกองทัพบก เวลา 14.00 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า หลังประกาศหยุดยิงครบ 53 วัน เพื่อเข้าสู่กลไกทวิภาคีทุกระดับนำไปสู่การสร้างสันติภาพ แต่ทหารกัมพูชาพยายามละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ใช้ภาคประชาชนโดยเฉพาะสตรี เด็ก พระภิกษุ แสดงออกเชิงสัญลักษณ์แทนภาค ราชการและทหาร สถานการณ์ล่าสุดประชาชนกัมพูชาชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ไทย ยั่วยุ ใช้สิ่งเทียมอาวุธ เช่น ไม้ ก้อนหินในพื้นที่อธิปไตยไทย ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว โดยทหารกัมพูชาที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ห้ามปรามประชาชน ชี้ให้เห็นว่าให้ประชาชนออกหน้ายั่วยุ รุกล้ำดินแดน ทำผิดกฎหมายในแผ่นดินไทยชัดเจน ต้องใช้มาตรการควบคุมโดยกำลังตำรวจและฝ่ายปกครองตามขั้นตอนเพื่อรักษาความสงบและบังคับใช้กฎหมาย ปัจจุบันกัมพูชาไม่มีทีท่าและความจริงใจแก้ไขปัญหาดังกล่าวซัด “ฮุน มาเนต” เป่าหูผู้นำมาเลย์พล.ต.วินธัยกล่าวว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้รับข้อมูลไม่ถูกต้องจากนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กรณีเหตุการณ์บ้านหนองหญ้าแก้ว ที่ไม่ใช่พื้นที่กัมพูชาอ้างสิทธิ แต่เป็นเขตอธิปไตยไทยและมีชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามา จึงไม่ต้องใช้แผนที่ใดๆ กองทัพบกจะประสานกับกองทัพไทยนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ยืนยันว่า การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมชาวกัมพูชาเป็นตำรวจ ไม่ใช่ทหารตามที่นายฮุน มาเนต กล่าวอ้าง การใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา ไม่ใช่การสลายการชุมนุม เป็นการป้องกันไม่ให้รื้อแนวลวดหนาม ทรัพย์สินราชการ นายกฯกัมพูชานำเสนอข้อมูลต่างๆในเวทีต่างประเทศผิดพลาด จะประสานกระทรวงการต่างประเทศแจ้งไปยังนายกฯมาเลเซียให้รับทราบถึงข้อมูลฝ่ายไทย ยืนยันไทยไม่ได้ขยายขอบเขตเกินกว่าพื้นที่พิพาท และไม่ใช่พื้นที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ กัมพูชานอกจากละเมิดข้อตกลงเอ็มโอยู 2543 มาใช้ประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ แต่ยังรุกล้ำเข้ามายังพื้นที่อธิปไตยไทย ถือเป็นความเร่งด่วนแรกที่ต้องดำเนินการ เพราะเป็นการรายงานข้อมูลเท็จฝ่ายเดียวของกัมพูชาอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่