กองปราบฯเปิดปฏิบัติการ “ทลายขบวนการสวมบัตรเถื่อน ฟอกตัวเป็นไทย EP.2” บุกจับกลุ่มนายหน้า 4 คน และเจ้าหน้าที่เทศบาลนครรังสิตอีก 6 คน รวม 10 คน ขยายผลจากการจับกุมขบวนการสวมบัตรประชาชนลอตแรกเมื่อ 2 เดือนก่อน หลังมีพฤติกรรมเหิม โพสต์เชิญชวนหาลูกค้าโจ๋งครึ่มในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนชื่อ “เสี่ยวหงซู (XHS)” เรียกค่าใช้จ่ายหัวละ 3-9 แสนบาทแล้วแต่ความยากง่าย เร่งขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินเข้ากระเป๋าไปแล้วคนละเท่าไหร่กองปราบฯบุกทลายขบวนการสวมบัตรประชาชนขายให้คนต่างชาติรายนี้ เปิดเผยขึ้นที่ห้องแถลงข่าวกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 ก.ย. พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เนติวิทย์ ธนาสิทธิ์นิติกุล ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.พงศกร ตันอารีย์ รอง ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ต.อดิศร อินทิยศ สว.กก.2 บก.ป. และนายแสน สุรวิญญูวร ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน (ผอ.สปท.) ร่วมแถลงผลปฏิบัติการทลายขบวนการสวมบัตรเถื่อน ฟอกตัวเป็นไทย EP.2ปฏิบัติการครั้งนี้จับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ 10 คน แบ่งเป็นกลุ่มนายหน้า 4 คน ประกอบด้วยนายสุรินทร์ พลชลี อายุ 56 ปี จับกุมที่กุฏิวัดวิมุตยาราม เขตบางพลัด กทม. น.ส.นิภาพร แซ่เจิง อายุ 33 ปี และนายพนธกร แซ่คู่ อายุ 34 ปี จับกุมที่จุดตรวจแม่ท้อ จ.ตาก และนายวิทยา วนาวีระกร อายุ 37 ปีตามจับกุมได้ในสวนลำไย จ.ลำพูน ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 รวม 6 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ข้อหาร่วมกันให้ยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ข้อหาร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการฯ และข้อหาร่วมกันทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการใดๆเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบฯส่วนอีก 6 คน เป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่เทศบาลนครรังสิต จ.ปทุมธานี ประกอบด้วย น.ส.ชนิดาภา ขวัญธาราโชค อายุ 50 ปี น.ส.พีรญา ชินวงษ์ อายุ 43 ปี นายธนัช ปาลีกุย อายุ 48 ปี นายธนวัธร์ ธนชูชัยอนันต์ อายุ 37 ปี น.ส.กรลภัทร จังมานะอายุ 32 ปี และ น.ส.ชลธิชา ฉ่ำแสง อายุ 34 ปี ทั้ง6คนนี้ถูกจับกุมได้ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี และที่กองปราบปราม ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 รวม 7 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ข้อหาร่วมกันปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานออกบัตร พนักงานเจ้าหน้าที่ร่วมกันสนับสนุนบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยยื่นคำขอมีบัตร ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ข้อหาร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ หรือร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และข้อหาร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯพล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป.กล่าวว่า คดีนี้สืบเนื่องมาจากตำรวจกองปราบปรามรับแจ้งจากพลเมืองดีเมื่อเดือน เม.ย.68 ว่า พบการโพสต์โฆษณารับทำบัตรประชาชนไทย ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนชื่อ “เสี่ยวหงซู (XHS)” เจ้าหน้าที่สืบสวนเรื่อยมาจนพบว่าเป็นขบวนการสวมบัตรแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนายหน้า ทำหน้าที่ติดต่อรับเงิน และพาผู้ต้องหาไปสวมบัตร ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำหน้าที่ย้ายทะเบียนบ้านและออกเอกสารราชการอันเป็นเท็จ ก่อนเปิดปฏิบัติการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 10 คนครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 ก.ค.68 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.2 บก.ป.เปิดปฏิบัติการจับกุมผู้เกี่ยวข้องลอตแรกไปแล้ว 9 คน ยึดหลักฐานเอกสารจำนวนมาก ก่อนสืบสวนขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค1 ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 10 คน ในครั้งนี้“ส่วนค่าใช้จ่ายทำบัตร เบื้องต้นพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาคิดค่าดำเนินการจะอยู่ที่ 3-9 แสนบาทต่อคน แล้วแต่ความยากง่าย ต้องนำภาพใบหน้าของคนที่จะมาสวมบัตรประชาชนมาดูก่อนว่า มีความคล้ายคลึงกับเจ้าของบัตรคนไทยหรือคนที่ถูกสวมบัตรหรือไม่ ส่วนใหญ่มักใช้วิธีสวมบัตรบุคคลที่เสียชีวิตแต่ยังไม่มีการแจ้งตาย ส่วนการดำเนินคดีชาวต่างด้าวที่สวมบัตร เมื่อถูกดำเนินคดีในประเทศไทยเสร็จสิ้นแล้วจะผลักดันส่งตัวกลับประเทศต้นทางทันที” ผบก.ป.กล่าวด้านนายแสน สุรวิญญูวร ผอ.สปท.กล่าวว่า สำหรับเจ้าหน้าที่เทศบาลที่ถูกจับครั้งนี้ พบว่าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของเทศบาล ไม่ใช่ระดับผู้บริหาร ส่วนเงินหมุนเวียนในขบวนการนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นอยู่ในระดับหลักแสนถึงหลักล้าน แต่คาดว่าอาจสูงถึงเกือบ 10 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติมพล.ต.ต.วิทยากล่าวย้ำว่า คดีนี้ถือเป็นการทุจริตร้ายแรง เจ้าหน้าที่รัฐที่รับผลประโยชน์จะมีโทษหนัก ตั้งแต่จำคุก 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต รวมถึงข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี พร้อมเตือนเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่าหลงเชื่อ หรือเข้าร่วมกระทำผิด เพราะการสวมบัตรประชาชนปลอมไม่เพียงผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศอย่างร้ายแรง หลังจับกุมเจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.ดำเนินคดี พร้อมขยายผลหาตัวผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่