วันที่ 6 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันต่อต้านคอร์รัปชันแห่งชาติ” ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนของสังคมไทยควรจะตระหนักและร่วมกันแสดงพลังสำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว “คอร์รัปชัน” ไม่ใช่แค่คำศัพท์ในข่าว เท่าที่รู้ๆ เห็นๆ ได้ยินได้ฟังกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ยังคงเป็นปัญหาที่สัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การวิ่งเต้นเพื่อได้งานในหน่วยงานรัฐ? การจ่ายสินบนเพื่อให้เรื่องผิดกฎหมายกลายเป็นถูก? การถูกรีดไถจากเจ้าหน้าที่? ไปจนถึงโครงการใหญ่ระดับประเทศ?...ที่เต็มไปด้วย “ความไม่โปร่งใส” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” กัดกินความเชื่อมั่นใน “ระบบยุติธรรม” และ “ความเท่าเทียม” น่าสนใจว่าเมื่อมีการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันทีไร ประชาชนมักจะเห็นภาพการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ มีการประกาศเจตนารมณ์จากผู้ใหญ่ในบ้านเมือง แต่พอวันเวลาผ่านไป...ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ทำให้ความรู้สึกที่เคยฮึกเหิมในการต่อสู้กับคอร์รัปชันค่อยๆจางหายไปและ...แทนที่ด้วยความรู้สึกที่ว่า “มันเป็นเรื่องที่เกินจะแก้ไข” หรือ “เรื่องแบบนี้มีมานานแล้ว และคงไม่มีวันหมดไป” ความรู้สึกมึนชาเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันคือการยอมจำนนต่อปัญหาและปล่อยให้การทุจริตกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดประเด็นเชื่อมโยงชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อว่ารัฐบาลตั้งใจทำดีเพื่อบ้านเมือง แม้จะอธิบายว่าการผลักดันโครงการต่างๆ เช่น กาสิโน แจกเงินดิจิทัล โยกงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท หรือจัดเทศกาลดนตรี มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ“แต่...สังคมยังคงตั้งคำถามว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงหรือหวังผลทางการเมืองหรือไม่ วิกฤติความไม่ไว้วางใจนี้เกิดจากประเทศที่เต็มไปด้วยคอร์รัปชัน แต่รัฐบาลกลับไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นว่าสนใจจะปราบปราม และคนไทยเจอนักการเมืองที่พร้อมจะโกงหรือหลับตาข้างหนึ่งให้พวกพ้องมามากแล้ว”ดร.มานะ ย้ำว่า 7 เหตุผลที่ทำให้ประชาชนมองว่ารัฐบาลไม่ตั้งใจปราบโกง ไร้ทิศทางและนโยบายที่จับต้องได้ หนึ่ง...รัฐบาล ไม่เคยประกาศหรือแถลงนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันที่ชัดเจนและจับต้องได้แม้ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 นายกฯ แถลงต่อสภาฯว่าจะผลักดัน CPI ไทยให้ไม่ต่ำกว่า 56 คะแนน ติดอันดับไม่เกิน 45 ของโลก จากปัจจุบัน 34 คะแนน อันดับ 107 ของโลกแต่ตัวเลขนี้เป็นเพียงแผนของ ป.ป.ช. ที่ผ่านมาไม่เคยขยับเข้าใกล้เป้าหมายจริง สอง...กลไกต่อต้านคอร์รัปชันในภาครัฐอ่อนแอลงใน 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลปฏิเสธใช้กลไกที่รัฐบาลก่อนสร้างไว้ เช่น ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) แต่ก็ไม่เสนอกลไกใหม่หรือชี้ให้เห็นว่ากลไกปัจจุบันเพียงพอแล้ว ขณะที่ปัญหาคอร์รัปชันยังลุกลาม โดยไร้คำตอบว่าเกิดจากช่องโหว่ของระบบหรือจากพฤติกรรมของผู้มีอำนาจ และจะฟื้นศรัทธาได้อย่างไรสาม...สนใจเพียงปัญหาเฉพาะหน้า แล้วโยนภาระไปให้หน่วยงาน จากเหตุการณ์ใหญ่ เช่น ตึก สตง.ถล่ม รถทัวร์นักเรียนไฟไหม้ ทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก“รัฐบาลมุ่งเป้าไปที่สั่งการหน่วยงานเร่งหาคนผิดและเยียวยาผู้เสียหาย แต่สิ่งที่สังคมยังไม่เห็นคือการสอบสวนอย่างโปร่งใส พร้อมรายงานให้ประชาชนเข้าใจว่า ปัญหาเกิดจากอะไร คดีคืบหน้าเพียงใด ติดค้างอยู่ที่หน่วยงานใด และจะมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอย่างไร”ทั้งที่ “รัฐบาล” มีเครื่องมือสื่อสารจำนวนมากอยู่ในมือสี่...ละเลยการปฏิรูประบบราชการและกฎหมายตามที่เคยหาเสียง ผู้นำรัฐบาลเคยสัญญากับประชาชนว่าจะปฏิรูประบบราชการ ปฏิรูปกฎหมายและผลักดันโครงการ Regulatory Guillotine ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและเป็นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างหรือต้นตอการเกิดคอร์รัปชัน...แต่ 2 ปีผ่านมายังไม่มีการรายงานความคืบหน้าว่าโครงการดังกล่าวดำเนินการไปถึงไหน สำเร็จแล้วหรือหยุดชะงักลง ห้า...ข้อเสนอ ป.ป.ช. ถูกเมิน เรื่อง แปะเจี๊ยะ ทุจริตยา นมโรงเรียน ส่วยทางหลวง คอร์รัปชันเชิงนโยบาย และสินบนใบอนุญาต เป็นปัญหาซ้ำซากที่ ป.ป.ช.ได้ศึกษาและส่งความเห็นหรือข้อเสนอแนะถึงคณะรัฐมนตรีมาแล้วกว่า 176 เรื่อง...ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีคำชี้แจงว่ารัฐบาลได้นำข้อเสนอเหล่านี้มาปฏิบัติจริงมากน้อยเพียงใด ได้ผลหรือไม่ และมีปัจจัยใดเป็นอุปสรรคหก...ไม่เข้าใจกลไกต่อต้านคอร์รัปชันของประเทศ ตัวอย่าง ครม. มีมติให้ “ป.ป.ท. รับผิดชอบ” การขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเพื่อยกระดับคะแนน CPI ตามที่ “ป.ป.ช. ศึกษาและเสนอมา” ทั้งที่ ป.ป.ช. มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มีทรัพยากรและอำนาจมากกว่า ทำให้เกิดอุปสรรคและจุดอ่อนมากมายเจ็ด...ข้าราชการเกียร์ว่าง เมื่อข้าราชการเห็นว่ารัฐบาลไม่ชัดเจนเรื่องต่อต้านคอร์รัปชัน ส่งผลให้ข้าราชการขาดแรงขับเคลื่อน เช่น กรณีคณะกรรมการขับเคลื่อนการต่อต้านคอร์รัปชันระดับจังหวัด ที่ต้องมีการประชุมทุกไตรมาส กลายเป็นพิธีกรรม โดยผู้ว่าฯ หัวหน้าส่วนราชการมอบหมายกันต่อเป็นทอดๆทำให้...การประชุมแต่ละครั้งแทบไร้ค่าไร้ผลงาน ดร.มานะ บอกว่า หากรัฐบาลจะรู้หน้าที่แล้วหันมาเป็น “ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน” เริ่มด้วยการลงมือทันทีในเรื่องไม่ยาก ไม่ต้องลงทุนมากคือ เปิดเผยข้อมูลภาครัฐให้ไทยเป็นรัฐโปร่งใส ให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบและป้องกันการคอร์รัปชันได้ดีขึ้น... ประกาศเจตจำนงปราบโกงต่อต้านคอร์รัปชันเป็น “วาระแห่งชาติ”จับมือกับภาคประชาชน ส่งเสริมองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญให้มีอิสระในการทำหน้าที่และยึดโยงกับประชาชน ตอกย้ำพลังการต่อต้านคอร์รัปชัน...เป็นเรื่องของทุกๆคนในสังคมร่วมกันลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา...เปลี่ยนความรู้สึกมึนชาให้กลายเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม