ความรุนแรงในโรงเรียน “ม.5 ไม่พอใจคะแนนสอบ” ลงมือรัวหมัดทำร้ายครูคณิตศาสตร์กลางห้องเรียนต่อหน้าเพื่อน “ไม่ใช่เรื่องใหม่” แต่เป็นเหตุเกิดขึ้นซ้ำซาก ไม่มีทีท่าว่าจะหายไปจากสังคมไทยสิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่านั้นคือ “ความรุนแรงนี้ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาปัจเจก หรือเฉพาะตัวบุคคล” แต่สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องฝังลึกอยู่ในโครงสร้างของระบบการศึกษาไทยที่ยังไม่เอื้อต่อการเข้าใจพฤติกรรมเด็ก และการจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ในการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนแม้พยายามแก้ผ่านนโยบาย มาตรการเฉพาะกิจ แต่ความรุนแรงในโรงเรียนก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา มองว่า อันที่จริงถ้ามองในภาพรวมใหญ่ต้นตอปัญหานำไปสู่ “ความรุนแรงในโรงเรียนนั้น” ไม่ใช่แค่เรื่องคะแนน หรือกฎระเบียบเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงระบบความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนด้วย “อย่างเคสนี้ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงลึกทั้งหมด” ซึ่งก็เชื่อว่าหากครู และนักเรียนรับฟังกัน ปัญหาหลายอย่างอาจจะไม่ลุกลามถึงขั้นนี้แต่ที่ผ่านมาสังคมมักจะเรียกร้องให้ “ครูรับฟังนักเรียนซึ่งก็เป็นสิ่งถูกต้อง” ขณะเดียวกันนักเรียนก็ต้องเปิดใจรับฟังครูด้วย เพราะถ้ารู้จักให้เกียรติกันจะช่วยสร้างบรรยากาศการอยู่ร่วมกัน และลดความขัดแย้งลงได้ดังนั้นกุญแจสำคัญทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยและอบอุ่นคือ “สื่อสาร ใส่ใจ เข้าใจกัน” หากครูทำหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นครูทั้งห่วงใย เข้าใจ และใกล้ชิดเด็กมากกว่าควบคุม “ปัญหาความรุนแรงก็จะลดลง” แต่ถ้าครูทำหน้าที่เพียงสอนตามเวลาโดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ความผูกพันกับเด็ก มักจะขาดสายใยและขาดความเข้าใจกันเมื่อเกิดปัญหาเล็กน้อย “ต่างฝ่ายต่างก็ตัดสินในแง่ลบได้ง่าย” เพราะอย่าลืมเบื้องหลังเด็กมาเรียนอาจมีภาวะทางใจอยู่เดิม เช่น ทะเลาะกับเพื่อน หรือมีปัญหากับครอบครัว “บีบคั้นจิตใจก่อนเข้าห้อง” ถ้าครูใช้ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และผูกพันกับนักเรียนมากกว่าหน้าที่การสอนก็จะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งทั้งหลายได้อย่างดีแม้บางช่วงเด็กอาจหลุดจาก “อารมณ์ชั่ววูบ” แต่ส่วนใหญ่เมื่อมีสติกลับคืนมามักรู้ทันทีว่า “ตัวเองผิด” ก็จะมีจิตสำนึกกล้ากลับมากราบขอโทษยอมรับ ปรับปรุงตัวเอง “คนเป็นครูที่แท้จริงย่อมต้องให้อภัย” เพราะความเป็นครูไม่ได้จบแค่ในห้องเรียน แต่อยู่ตรงความเข้าใจ ความเมตตา และให้โอกาสศิษย์จากความผิดพลาดนั้นในบางทีแค่มีโอกาสได้คุยกัน “ด้วยความเข้าใจ และไม่ตัดสินใครก่อน” เปิดใจรับฟังซึ่งกันและกันว่าลูกศิษย์ต้องการอะไร และครูสามารถช่วยอะไรได้บ้าง เช่นนี้เรื่องทั้งหมดอาจจะไม่จบลงแบบที่เห็นในข่าวเลยก็ได้“สิ่งที่อยากสื่อคือบางครั้งความเข้าใจ และความช่วยเหลือเล็กๆจากคนที่เป็นครูมักสามารถเปลี่ยนชีวิตใครบางคนได้เลย ดังนั้นในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงในโรงเรียน ก็ยังเชื่อว่าการเข้าใจ และมีเจตนาดีของคนเป็นครูจะช่วยเยียวยา และประคับประคองเรื่องต่างๆได้ดีกว่าการลงโทษเพียงอย่างเดียว” รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ว่าจริงๆแล้ว “ความรุนแรงในโรงเรียน” เป็นปัญหาที่มีมาทุกยุคทุกสมัยเพียงแต่รูปแบบอาจเปลี่ยนไปตามบริบทของสังคม แม้มีความพยายามในการป้องกันแก้ไข แต่ต้องยอมรับอย่างตรงๆว่าปัญหานี้ก็ยังคงไม่หมดไปเท่าที่พูดคุยกับครูทั้งในโรงเรียน และมหาวิทยาลัย “ความรุนแรงในโรงเรียนยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง” ทั้งระหว่างนักเรียนกันเอง นักเรียนกับครู หรือครูกับผู้ปกครอง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในโรงเรียนโดยรวมแล้วสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ “กรณีเด็กพิเศษ” ซึ่งต้องการดูแลเป็นพิเศษ หากไม่ได้รับความเข้าใจเพียงพอจากครู หรือผู้ดูแลก็อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นตามมาเสมอ “ด้วยเด็กบางคนควบคุมตัวเองไม่ได้” ทำให้มักมีปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรงเวลาเกิดอารมณ์เครียด ไม่ว่าจะเป็นครูหรือเพื่อน ก็อาจถูกทำร้ายทั้งทางวาจาและร่างกายได้เสมอบางกรณีถึงขั้นดำเนินคดีจากครูใช้แรงควบคุมจนบาดเจ็บ...เป็นเหตุให้ไม่กล้าแตะเด็กก็ทำร้ายคนอื่นต่อ “ผู้ปกครองอีกฝ่ายก็ไม่ยอม” สุดท้ายเป็นต้นตอความขัดแย้งโดยเฉพาะผู้ปกครองเด็กพิเศษกับเด็กทั่วไป และในฐานะผู้มีประสบการณ์บริหารสถานศึกษา และทำงานฝ่ายนิติบัญญัติ มักเห็นปัญหาในแวดวงการศึกษาเยอะมากโดยเฉพาะความรุนแรงและความเหลื่อมล้ำในระบบ “ที่ไม่อาจแก้แบบฉาบฉวยหรือแก้เฉพาะหน้า” แต่สิ่งไหนทำได้ก็ลงมือทำไม่ต้องรีรอ ด้วยเวลารัฐบาลทำงานมีวาระจำกัด “นโยบาย” มักจะเปลี่ยนไปตามคนใหม่ทำให้เป็นอีกเหตุผลที่ “ต้องพัฒนาทักษะเฉพาะทางให้กับครู” โดยเฉพาะว่าที่ครูระดับปริญญาตรี เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมเด็กพิเศษ และมีเครื่องมือที่เหมาะสมในการดูแลเด็กกลุ่มนี้โดยไม่สร้างความขัดแย้งอื่น เหตุนี้ กมธ.การศึกษาฯจึงมีแผนจะจัดอัปสกิลให้ “ว่าที่คุณครู” ที่จะจบคณะศึกษาศาสตร์ให้มีทักษะการดูแลเด็กพิเศษเพื่อให้สามารถรับมือปัญหาความรุนแรง และสร้างแวดล้อมทางการศึกษาให้เหมาะกับเด็กทุกกลุ่ม แล้วประเด็นสำคัญคือ “การรวมพลังทุกภาคส่วนมาร่วมออกแบบอนาคตการศึกษา” โดยเปิดโอกาสครู นักวิชาการ ผู้ปกครอง สังคม มาร่วมร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ “ไม่ใช่ให้นักการเมืองบางกลุ่ม” กำหนดทิศทางโดยไร้เสียงคนทำงานจริงสิ่งที่เล่าไม่ใช่แค่แนวคิดข้อเสนอแนะในอากาศ แต่มีการร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับของพรรครวมไทยสร้างชาติ...ซึ่งทำกับนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากทุกระดับการศึกษาทั่วประเทศ และส่งให้ประธานสภาตั้งแต่ปีที่แล้วสำหรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับรวมไทยสร้างชาตินั้น “ยังมุ่งเน้นการศึกษาที่ตอบโจทย์” สำหรับเด็กที่เข้ามาเรียนเพื่อประกอบสัมมาอาชีพในการดูแลพ่อแม่ ครอบครัว เพราะถ้าผู้ประกอบการ SME พ่อค้า เจ้าของกิจการ หรือบริษัทใหญ่ๆไม่เห็นความสำคัญสิ่งที่เด็กเรียนก็จะไม่มีที่ไปในระบบเศรษฐกิจ และการศึกษาก็ยังไม่ตอบโจทย์ได้จริงนอกจากนี้ “การศึกษายังต้องตอบโจทย์พื้นที่” ด้วยแต่ละจังหวัดชุมชนอัตลักษณ์แตกต่างกัน และมีเสน่ห์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรรม และการท่องเที่ยว “หัวใจหลักระบบเศรษฐกิจ” ถ้าเป็นจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ ก็ควรให้ผู้เรียนมีความรู้ด้านบริการ ทักษะภาษา และเข้าใจวัฒนธรรมผู้มาเยือนเป็นหลัก“ผมให้ความสำคัญแนวคิดการศึกษาที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ความต้องการของพื้นที่ ความต้องการผู้ประกอบการ จนสุดท้ายถึงจะตอบโจทย์ความต้องการผู้เรียน เพราะที่ผ่านมาหลายคนมักเริ่มตอบโจทย์ผู้เรียนเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ได้ผิด เพียงแต่ถ้าเรียนไปแล้วผู้ประกอบการไม่ต้องการเช่นนี้เราจะเรียนไปเพื่ออะไร” รศ.ดร.ดวงฤทธิ์ว่านี่คือระบบการศึกษา “แบบยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับบริบท” ที่ผ่านการกลั่นกรองทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการศึกษาที่ดีขึ้น และปลอดภัยสำหรับลูกหลานของเรา...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม