ทหารไทยบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดอีกราย เป็นรายที่ 6 แล้ว ขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณ เนิน 350 ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ เบื้องต้นข้อเท้าขวาขาดหลังแม่ทัพภาคที่ 2 เพิ่งลงนามข้อตกลงประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) กับ ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชาไปหมาดๆ โดยฝ่ายกัมพูชายังเล่นแง่บ่ายเบี่ยง 3 ประเด็นสำคัญ “เก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบอาชญากรรมข้ามชาติ-การตอบรับหนังสือประท้วงจากไทย” ขอนำไปประชุม GBC ครั้งหน้า อ้างเป็นระดับนโยบาย ขณะที่ไทยยืนยันต้องทำทันที ส่วนที่ “หนองจาน” ยังระอุ ทบ.เล็งพิจารณาทำกำแพงกั้นตลอดแนวชายแดน เพื่อปกป้องประชาชนและป้องกันการรุกรานจากฝ่ายตรงข้ามการแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาคืบหน้าไปอีกขั้น เมื่อการประชุม RBC จบลงด้วยความราบรื่นและมีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันที่ชัดเจนขึ้น11 ข้อตกลงประชุม RBCที่ห้องประชุมชั้น 2 ที่ทำการด่านศุลกากรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีษะเกษ เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 27 ส.ค. พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา ร่วมกับ พลโทโปว เฮง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 เป็นประธานร่วม โดยพลโทบุญสินกล่าวว่าที่ประชุมได้ลงนามข้อตกลงร่วมกัน 11 ข้อ คือ 1.ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) ในห้วงที่ผ่านมา มีผลบังคับใช้ และทั้งสองฝ่ายยอมรับทุกข้อ 2.ขอให้ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเรื่องการสื่อสารตามปกติ หมายถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างกำลังทหารในพื้นที่ให้มีมากขึ้น 3.ขอให้ทั้งสองฝ่ายเข้มงวดการออกข้อความที่เป็นเท็จในสังคม การสื่อสารทางออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย ขอความร่วมมือให้ทั้งสองฝ่ายดูข้อเท็จจริง ดูมวลชนฝ่ายตัวเอง โดยฝ่ายไทยขอให้ฝ่ายกัมพูชากำกับดูแลในส่วนนี้ เพื่อระมัดระวังในการออกข้อมูลที่เป็นเท็จ อันจะนำมาซึ่งความไม่เรียบร้อยในประเทศต้องไม่ยั่วยุ–ขยายขัดแย้ง4.ขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ขยายความขัดแย้ง โดยการกระทำใดๆ ไม่มีการยั่วยุทางด้านการทหาร รวมถึงการใช้พลเรือนยั่วยุ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน 5.การดำเนินการใดๆต่อที่ตั้งทางทหารของแต่ละฝ่าย ต้องได้รับความคุ้มครองให้มีความปลอดภัย โดยไม่กระทำต่อที่ตั้งของแต่ละฝ่ายโดยใดๆก็ตาม หมายถึงการปรับปรุงฐานที่มั่นต้องได้รับความคุ้มครอง เช่น การทำบังเกอร์ ห้ามมีการยั่วยุและทำร้ายซึ่งกันและกันในที่ตั้ง พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายมีการลาดตระเวนเช่นเดิม ส่วนพื้นที่ในที่ตั้งหน่วยทหารต่างฝ่ายให้มีการปรับปรุงตามสมควร ไม่ให้มีการใช้อาวุธต่อที่ตั้งทหารซึ่งกันและกัน 6.ให้ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำถึงการพัฒนาเชิงบวก ปฏิสัมพันธ์ในแง่ที่ดี หมายความว่าพบปะกัน พัฒนาความสัมพันธ์ไปในทิศทางที่ดีโดยขอความร่วมมือทหารระดับล่าง จนถึงระดับสูง ขอให้เพิ่มการพบปะพัฒนาสัมพันธ์ ให้มีความรู้สึกที่ดีต่อกันกัมพูชาเลี่ยงเก็บระเบิด–ปราบมิจฯ7.ให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามมนุษยธรรม ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกอนุสัญญาออตตาวา จึงขอความร่วมมือไม่ให้ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยกัมพูชาเสนอว่าประเด็นนี้ขอนำไปสู่การประชุม GBC ครั้งหน้า เนื่องจากเป็นระดับนโยบาย แต่ฝ่ายไทยยืนยันการประชุมในครั้งนี้ว่าให้งดการใช้ทุ่นระเบิดตามหลักอนุสัญญาออตตาวา 8.ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบจัดตั้งชุดประสานงาน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แล้ว แต่จะเพิ่มขึ้นไปอีก แต่จะไปตกลงกันในเรื่องรายละเอียดอีกครั้ง เบื้องต้นจะจัดให้ฝ่ายละ 4 นาย ปกติประสานงานกันอยู่แล้วในระดับผู้การกรม ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่มีอะไรเสียหาย 9.ทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันที่จะให้ความร่วมมือในการปราบปรามป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ สแกมเมอร์ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวุธ รวมถึงกิจกรรมที่ผิดกฎหมายข้ามแดนทั้งหมด โดยฝ่ายไทยยืนยันที่จะดำเนินการเรื่องนี้ทันที แต่กัมพูชาขอให้นำประเด็นนี้เข้าสู่ในการประชุม GBCไม่ตอบสนองที่ไทยประท้วง10.ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสำคัญ ตอบสนองต่อการประท้วงเกี่ยวกับข้อพิพาทต่างๆ ขอให้รีบดำเนินการโดยเร็ว ซึ่งฝ่ายไทยขอกำหนดเวลาในห้วงแรก แต่ฝ่ายกัมพูชาเสนอว่าการกำหนดห้วงเวลาให้ไปหารือในการประชุม GBC หมายความคือหากมีการกระทำผิดเอ็มโอยู หรือข้อตกลงต่างๆ มีการรุกล้ำอธิปไตย เมื่อมีการประท้วงทางเอกสารแล้ว ให้อีกฝ่ายได้ตอบสนองต่อปัญหานั้นให้รวดเร็ว โดยขอให้กำหนดเป็นห้วงเวลา ตอบรับการแก้ปัญหาที่มีความขัดแย้งกัน เช่น การทำผิดเอ็มโอยู 43 มีการก่อสร้างในพื้นที่ ฝ่ายไทยได้ทำหนังสือประท้วงไป ฝ่ายกัมพูชาขอให้ไปหารือในการประชุม GBC11.ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบให้มีการจัดประชุม RBC ขึ้นตามห้วงเวลาที่กำหนด เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้คงไว้คณะ IOT ชุดปัจจุบันพลโทบุญสินกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ฝ่ายไทยได้เสนอว่า การจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) ชุดปัจจุบันสามารถทำงานได้ดี เช่น ผู้ช่วยทูตทหาร จึงเห็นชอบว่าให้คงคณะ IOT ชุดนี้ต่อไป เพียงแต่ข้อนี้ไม่ได้อยู่ในบันทึกการประชุมมีเพียง 11 ข้อที่อยู่ในบันทึกการประชุม เพื่อเจตนาที่จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นย้ำนโยบายให้เด็ดขาดแม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กัมพูชานำมวลชนมากดดันในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 นั้น มีส่วนในการกำหนดข้อตกลง RBC ในวันนี้หรือไม่ว่าใช่ในข้อที่ 4 ที่ว่ามายุยงทั้งทางทหารและพลเรือน รวมทั้งไม่ใช้กำลังทหารและพลเรือนในการสร้างความขัดแย้งตลอดแนวชายแดน ซึ่งเขาก็ยอมรับ โดยในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ได้ให้นโยบายกับผู้บังคับหน่วยไปว่าให้มีความเด็ดขาดในการแก้ปัญหาไม่ว่าจะเป็นจุดไหน ถ้ามีท่าทีจะรุกล้ำอธิปไตย มีแผนปฏิบัติตามขั้นตอนอยู่แล้ว ตั้งแต่การแจ้งเตือน เป็นมาตรการจากเบาไปหาหนัก โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้ประชาชนของสองฝ่ายปะทะกันเชื่อ มทภ.1 รับมือเหตุป่วนได้แม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงสถานการณ์ที่สระแก้วด้วยว่าให้เจ้าภาพเป็นคนตอบดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก และกองทัพภาคที่ 1 แต่ยอมรับว่าถ้ามีเหตุการณ์รุนแรงจะมีผลกระทบต่อชายแดนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 บ้างในกรณีที่มีการใช้กำลังทหาร เราพร้อมปฏิบัติตลอดแนวอยู่แล้ว ตนเชื่อมั่นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ จะรับมือได้ ส่วนมวลชนจัดตั้งที่มายั่วยุ เป็นหน้าที่ของหน่วยในพื้นที่ไปแก้ไข จะทำอย่างไรก็ได้ให้สถานการณ์คลี่คลาย พร้อมย้ำว่าเชื่อมั่นว่าแม่ทัพภาคที่ 1 จะแก้ไขได้ ให้กำลังใจกัน ในส่วนของกองทัพภาคที่ 2 ก็เตรียมเหมือนกันแจงความจริงต่อนานาชาติด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมการประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ประจำปี 2568 ที่โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ว่าหลายประเทศสอบถามถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไทยได้ใช้โอกาสนี้ในการส่งข้อมูลความจริงไปยังนานาประเทศ พร้อมย้ำว่าทุกการกระทำเป็นการทำหน้าที่ในการปกป้องผล ประโยชน์ดินแดนของไทย คุ้มครองชีวิตคนไทยอย่างเต็มความสามารถภายใต้กรอบกติการะเบียบที่โลกใบนี้มี ขณะเดียวกันไทยไม่ต้องการเห็นการสู้รบ จึงต้องปกป้องอธิปไตยเพราะถูกรุกราน นอกจากนี้ยังมีความพยายามบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จึงได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด และขอความร่วมมือจากหลายประเทศให้สนับสนุนการเข้ามาเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาวางไว้ในดินแดนไทยทบ.เล็งทำกำเเพงแนวชายแดนพล.อ.ทรงวิทย์ยังกล่าวถึงการสร้างรั้วตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ให้มีความเข้มแข็งเพื่อป้องกันการรุกรานว่ากองทัพบกกำลังพิจารณาและนำไปปฏิบัติ ทั้งในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 โดยเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ได้ให้เสนาธิการลงไปในพื้นที่ที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว และสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ตรงนั้นคือดินแดนของไทย และจะต้องมีการสร้างกำแพงที่แข็งแรง เพื่อปกป้องประชาชนและปกป้องการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม โดยยืนยันว่าตนเองจะสนับสนุนทุกการกระทำของกองทัพบกอย่างแน่นอนทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขาขาดอีกอย่างไรก็ตาม หลังจบการประชุม RBC ได้ไม่นาน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 16.33 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. เปิดเผยว่าเมื่อเวลาประมาณ 15.45 น. ได้เกิดเหตุพลทหารอดิศร ป้อมกลาง สังกัด กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 เหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ปราสาทตาควาย (เนิน 350) อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บ บริเวณข้อเท้าขาขวาขาด หน่วยในพื้นที่ได้เข้าดำเนินการช่วยเหลือ และนำส่ง รพ.เพื่อรับการรักษาแล้วทหารบาดเจ็บด้วยอีก 2 นายจากนั้นในช่วงเย็น ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากการที่หน่วยทหารจาก พัน.ร.22 ได้จัดกำลังพลออกลาดตระเวนระหว่างฐานปฏิบัติการ บริเวณหน้าบังเกอร์ 11-12 ด้านทิศตะวันตกของปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้เหยียบเข้ากับทุ่นระเบิด ชนิด PMN-2 ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ได้แก่ 1.พลทหารอดิสร ป้อมกลาง สังกัดสนาม มว.3 ร้อย.ร.221 บาดเจ็บข้อเท้าขวาขาด มีการลำเลียงทางอากาศจาก รพ.พนมดงรัก ไปยัง รพ.สุรินทร์ พร้อมชุด Sky Doctor 2.จ.ส.อ.ณัฐพงศ์ สีชิน สังกัดสนาม มว.3 ร้อย.ร.221 ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่แผ่นหลัง อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ส่งกลับเข้ารับการรักษาที่ รพ.พนมดงรัก 3.พลทหาร ธรรณ์ณธร เทากระโทก สังกัดสนาม มว.3 ร้อย.ร.221 บาดเจ็บที่ข้อมือซ้าย อาการไม่รุนแรง ส่งกลับเข้ารับการรักษาที่ รพ.พนมดงรัก ขณะนี้หน่วยที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยจวกกัมพูชาละเมิดข้อตกลงซ้ำซากต่อมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่รับทราบข่าวพลทหารอดิศร ป้อมกลาง สังกัด กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 เหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ก็ได้ออกมาประณามว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและอนุสัญญาออตตาวาต่อเนื่อง โดยเนิน 350 ปราสาทตาควาย เป็นพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาวางกำลังหนาแน่น และมีทุ่นระเบิดรอบพื้นที่ โดยวันนี้ทหารไทยออกไปลาดตระเวน เครื่องตรวจวัตถุระเบิดตรวจหาไม่เจอ เนื่องจากทุ่น ระเบิดดังกล่าวมีโครงสร้างเป็นพลาสติก คาดเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ เบื้องต้นได้ทำหนังสือประท้วงไปทางฝ่ายกัมพูชาแล้ว และเตรียมกำหนดแผนทางการทหารต่อไปฝ่ายไทยบาดเจ็บขาขาด 6 นายด้าน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. กล่าวถึงเหตุการณ์ทหารเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ในเขตแดนของไทย จนได้รับบาดเจ็บขาขวาท่อนล่างขาด ว่านับเป็นเหตุการณ์รวมครั้งที่ 6 และเป็นเหตุการณ์ครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้น หลังจากฝ่ายไทยและกัมพูชามีข้อตกลงหยุดยิงร่วมกัน จึงชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชา ยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอยู่ตลอด รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในอนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด จึงนับเป็นการลอบโจมตีเป้าหมายกำลังพลฝ่ายไทยอย่างจงใจ และมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์สะท้อนเจตนาร้ายของกัมพูชาโฆษก ทบ.กล่าวอีกว่าเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ได้เกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการใช้อาวุธโดยฝั่งกัมพูชา ยังคงมีความพยายามอยู่ตลอดในช่วงหลังจากมีข้อตกลงหยุดยิง จึงเชื่อได้ว่าเรื่องทุ่นระเบิดนี้น่าจะมีการวางแผนใช้กันมาอย่างเป็นระบบตลอดพื้นที่แนวชายแดน เพื่อเจตนานำมาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทย โดยเฉพาะจุดเกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่ภายในเส้นปฏิบัติการฝั่งไทย ยอมรับว่าพฤติกรรมและการกระทำลักษณะเช่นนี้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการอยู่ ผ่านกลไกทวิภาคีของทั้งสองประเทศในช่วงนี้ให้ ตร.จัดการมวลชนกัมพูชาทำผิด ก.ม.สำหรับปัญหากัมพูชารุกล้ำดินแดนที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวที่กระทรวงมหาดไทยถึงเหตุมวลชนไทยปะทะมวลชนกัมพูชาในพื้นที่ดังกล่าวว่า เมื่อเช้าวันที่ 27 ส.ค.ได้รับรายงานแล้วว่าสงบดี รัฐบาลได้เตรียมมาตรการไว้ตามกฎหมายบ้านเมืองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล หากเป็นการละเมิดหรือผิดกฎหมาย ตำรวจต้องดำเนินการ ทหารเฝ้าระวังตามชายแดน หากมีอะไรเกินเลยก็พยายามหาทางยุติ ที่สำคัญรัฐบาลยังยึดมั่นหลักการแก้ไขปัญหาโดยไม่ให้เกิดการยั่วยุ โดยเฉพาะฝั่งไทยที่ยืนยันไปอย่างชัดเจน และมีโอกาสได้พูดคุยกับตัวแทนจากต่างประเทศ หลายประเทศเข้าใจในเจตนาของไทยที่มีจุดยืนดังกล่าวตั้งแต่ต้น และรัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอที่มีบุคคลต่างๆเสนอมาและจะนำไปพิจารณามาเพราะถูกกัมพูชาท้าทายสำหรับบรรยากาศที่บ้านหนองจาน ต.โนน หมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตลอดเช้ายันบ่ายวันที่ 27 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานสนธิกำลังร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับกลุ่มมวลชนไทยจำนวนมากที่มารวมตัวกันนำสิ่งของมอบให้กับเจ้าหน้าที่ ทำกิจกรรมร้องเพลงชาติไทยและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่ตรึงกำลังดูแลความสงบในพื้นที่ โดยมวลชนที่มาต่างบอกว่าที่มาเพราะทางกัมพูชายึดแผ่นดินไทยไปและยังมีการเคลื่อน ไหวในโซเชียลมีเดียท้าทายคนไทยอีกด้วย ขณะที่ชาวบ้านใน อ.โคกสูง และพื้นที่อื่นๆใน จ.สระแก้ว ได้พากันนำอาหารและน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้กับผู้ที่เดินทางมาร่วมชุมนุม รวมถึงมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายอาหารและเครื่องดื่มเรียงรายตลอดสองข้างถนน ทำให้บรรยากาศบริเวณแนวชายแดนกลับมามีสีสันอีกครั้ง ส่วนที่ บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว ที่กัมพูชายึดไว้ ตลอดเช้ายังไม่มีชาวกัมพูชาออกมารวมตัวใดๆชี้นำธงชาติกัมพูชาที่รั้วออกแล้วขณะที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 (ศปก.ทภ.1) โดยกองกำลังบูรพา (กกล.บูรพา) ชี้แจงภาพที่ปรากฏตามสื่อออนไลน์เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ว่า ประชาชนกัมพูชาได้นำธงชาติกัมพูชามาปักเสาธงหน้าแนวลวดหนามพื้นที่บ้านหนองจานนั้น ในวันที่ 27 ส.ค.จากการตรวจสอบ กัมพูชาได้นำธงดังกล่าวออกไป และทหารกัมพูชาได้ห้ามปรามการกระทำดังกล่าวแล้ว คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำคอนเทนต์ เพื่อลงสื่อออนไลน์ และนำลงไปเรียบร้อยแล้วกต.กัมพูชาอ้างทหารไทยบุกรุกวันเดียวกัน นายชุม ซอนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา แถลงว่า กัมพูชาได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลไทยกรณีที่ทหารไทยบุกรุกเข้ามาใน จ.บันทายมีชัย ของกัมพูชาและล้อมรั้วลวดหนามบริเวณบ้านและพื้นที่การเกษตรของประชาชนกัมพูชา โดยขอให้ทหารไทยหยุดการกระทำดังกล่าวและเคารพข้อตกลงหยุดยิงที่มีการตกลงกันเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจลุกลามบานปลาย นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาย้ำว่ากัมพูชายังคงมีจุดยืนที่จะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศและปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติความขัดแย้งบริเวณพรมแดน“มาริษ” คุยรองข้าหลวงใหญ่ยูเอ็นส่วนที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยหลังเข้าหารือกับนางนาดา อัล-นาชิฟ รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา การที่ฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในไทย ใช้ทุ่นระเบิด ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ การใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์มากดดันปฏิบัติการทางทหาร การใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทย รวมถึงกรณีนายฮุน เซน อัดเสียงพูดคุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และนำมาเผยแพร่ พร้อมย้ำว่าไทยพยายามแก้ปัญหาด้วยการให้กัมพูชามาพูดคุยแบบทวิภาคี โดยไทยปฏิบัติตามกติกา ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศว่า รองข้าหลวงใหญ่ฯเข้าใจ และมีความเห็นที่สนับสนุนไทยในหลายเรื่อง รวมถึงมีท่าทีที่เป็นห่วงประเทศไทยมาก การพูดคุยเป็นสัญญาณบวกที่ดี ทำให้รองข้าหลวงใหญ่เข้าใจมากขึ้นไม่หนุนใช้สื่อโซเชียลบิดเบือนนายมาริษยังกล่าวอีกว่า รองข้าหลวงใหญ่ยังได้ให้คำแนะนำ คือให้เป็นไปตามกฎระเบียบของทั้งหมด และสนับสนุนเรื่องของการพูดคุย เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยต้องหาทางออกให้ประชาชนของทั้งสองประเทศ ไม่ให้เข้าใจผิดระหว่างกันถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และทางข้าหลวงใหญ่ออกแถลงการณ์ชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการใช้โซเชียลมีเดียบิดเบือน และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสาร คือสิ่งที่เราชี้แจงเพื่อให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ตระหนักว่าเราเล่นตามเกมตามกฎหมายระหว่างประเทศมาโดยตลอด และกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดทุกอย่าง เป็นการเสนอข้อเท็จจริงให้กับทางข้าหลวงใหญ่ อย่างไรก็ตาม รองข้าหลวงใหญ่รับฟังอย่างเป็นกันเอง และมีท่าทีที่ชัดเจนและเข้าใจในบริบทต่างๆ แน่นอนว่าเป็นการดำเนินการตามมาตรการทางการทูตและด้านการต่างประเทศ ซึ่งจะมองถึงการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์อย่างสันติด้วยความจริงใจอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่