ภัยเงียบกำลังคุกคามชีวิตชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง เมื่อรายงานล่าสุดจากกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ชี้ชัดว่า “น้ำ” และ “ตะกอนดิน” ในลำน้ำเหล่านี้มีการปนเปื้อนของ “สารโลหะหนัก” และ “สารหนู” ในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐานอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะในพื้นที่ “แม่น้ำสาย” และ “แม่น้ำรวก” ซึ่งผลการวิเคราะห์ระบุว่าอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากชาวบ้านยังคงบริโภคปลาในพื้นที่ซ้ำๆเป็นประจำ“สำนักข่าวชายขอบ” เว็บไซต์ www.transbordernews.in.th ระบุว่า เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ครั้งที่ 8 (เก็บตัวอย่างระหว่างวันที่ 21-25 กรกฎาคม 2568) โดยพบว่า คุณภาพน้ำผิวดินของแม่น้ำกกมีสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน 2 จุดคือ...ที่บริเวณชายแดนไทย–พม่า และสะพานมิตรภาพแม่นาวาง–ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ส่วนสารหนูพบว่าสูงเกินมาตรฐานแทบทุกจุด ส่วนแม่น้ำสายผลการตรวจวัดพบว่ามี “สารหนู” สูงเกินค่ามาตรฐานทุกจุดตรวจวัดโดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0.052-0.055 มก./ล. (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.01 มก./ล.) นอกจากยังพบสารตะกั่วสูงเกินค่ามาตรฐานคืออยู่ที่ 0.094-0.124 (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.05 มก./ล.)และสารแมงกานีสสูงเกินค่ามาตรฐานทุกจุดตรวจวัดโดยมีค่าอยู่ที่ 1.20–1.60 มก./ล.(ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 1.0 มก./ล.)สำหรับแม่น้ำรวกผลการตรวจวัดน้ำผิวดินพบว่า มีสารหนูเกินค่ามาตรฐานคืออยู่ที่ 0.04 มก./ล. เช่นเดียวกับตะกั่วอยู่ที่ 0.056 มก./ล. (มาตรฐานอยู่ที่ 0.05 มก./ล.) ขณะที่ผลการตรวจวัดแม่น้ำโขงพบว่ามีสารหนูสูงเกินค่ามาตรฐานตอกย้ำรายงานบทวิเคราะห์ระบุว่า...ผลคุณภาพน้ำบริเวณที่ติดกับพรมแดนของเมียนมา ทั้งแม่น้ำกกและแม่น้ำสายยังพบว่ามีค่าความขุ่นสูงทุกจุดตรวจวัด และพบค่าโลหะหนักสารหนูสูงเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นพารามิเตอร์ที่สะท้อนถึงการทำกิจกรรม “การทำเหมือง” อย่างชัดเจนประเด็นถัดมา...ค่าสารหนูที่พบในแม่น้ำโขง คาดว่าจะได้รับผลกระทบมาจากแม่น้ำสายที่มาบรรจบกับแม่น้ำรวกและไหลลงสู่แม่น้ำโขง เนื่องจากผลการตรวจวัดสารหนูในแม่น้ำสายต่อเนื่องมาแม่น้ำรวก และจุดที่ไหลลงแม่น้ำโขง พบค่าสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุดการขุดลอกตะกอนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก เพื่อป้องกันและเตรียมความพร้อมในการบรรเทาสาธารณภัยจากอุทกภัย ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568 (การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 4, 5) ตั้งแต่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง อ.เมืองจ.เชียงราย ถึงสะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 ต.รอบเวียง อ.เมืองจ.เชียงราย และแม่น้ำสาย บริเวณบ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย และบริเวณแม่น้ำรวก ส่งผลทำให้เกิดการรบกวนลำน้ำ ทำให้พบค่าความขุ่นและค่าสารหนูสูงขึ้นกว่าในเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 (การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3)น่าสนใจว่า...จากผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำผิวดินที่ผ่านมา การปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง จะปะปนมากับสารแขวนลอยที่มากับน้ำ สังเกตได้จากหากน้ำมีความขุ่นสูง จะมีผลทำให้พบโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานดังนั้น...หากมีการพักน้ำหรือทำให้มีการตกตะกอนของสารแขวนลอย จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้โลหะหนักในน้ำมีค่าลดลงสมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) บอกว่า ผลการตรวจวัดครั้งนี้ชี้ชัดเจนว่าจุดที่เปราะบาง น่ากังวลเป็นพิเศษคือที่...แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก ที่พบว่า...มีทั้ง สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส เกินค่ามาตรฐานในแหล่งน้ำผิวดิน“ในพื้นที่นี้ควรถูกยกระดับให้เป็นภัยพิบัติฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง...กว้างขวาง ...เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติมีโอกาสที่มลพิษจะเคลื่อนที่แพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆในวงกว้าง ดังนั้นควรต้องมีแผนการตอบโต้ฉุกเฉิน สำหรับการเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพ” กระทรวงสาธารณสุข ต้องให้ความสำคัญในเรื่องการสะสมของสารพิษในร่างกายแม้ว่าปริมาณน้อยแต่ได้รับอย่างต่อเนื่อง การที่สารพิษหลายตัวอาจจะออกฤทธิ์เสริมกัน เช่น แมงกานีสและตะกั่ว ต่างก็มีพิษในการทำลายระบบประสาทและควรมีการเฝ้าระวังโรคจากสิ่งแวดล้อม“ไม่ควรมุ่งไปเพียงแค่สารหนูแต่เพียงตัวเดียวหรือพิจารณาแยกรายตัว แต่ต้องดูภาพรวมของสารพิษที่ปนเปื้อนมาในแม่น้ำโดยต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการตัดเส้นทางการรับสัมผัสมลพิษกลุ่มเสี่ยง”ที่สำคัญ...ต้องกำหนดมาตรการปกป้องกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก รวมถึงผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวต่างๆ ...ต้องปรับปรุงระบบให้กลุ่มเสี่ยงที่เปราะบางสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างเหมาะสมและทันเวลา เพราะหากจะรอให้พบคนที่มีอาการแสดงหรือ...ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยจากการได้รับสารพิษ มันก็สายเกินแก้ไปแล้วสุดท้ายนี้ สมพร เพ็งค่ำ ฝากทิ้งท้ายว่า ควรเร่งรัดการสร้างความรอบรู้ด้านมลพิษสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐในการเฝ้าระวังตนเอง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม