กระทรวงการต่างประเทศนำคณะทูตและผู้แทนจำนวน 36 คน จาก 33 ประเทศ 1 องค์กร 2 องค์การระหว่างประเทศ รวมถึงสื่อมวลชน ไป จ.ศรีสะเกษ ดูความเสียหายของพลเรือนไทยจากการโจมตีของทหารกัมพูชา ใน อ.กันทรลักษ์ รวมถึงทุ่นระเบิดที่ภูมะเขือ ด้านที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ แฉนาย Michael A Alfaro ที่รายงานข่าวใส่ร้ายไทย ที่แท้ไม่ใช่ผู้ประกาศ ทางการของทำเนียบขาว แต่เป็นนักล็อบบี้ยิสต์ระดับรัฐบาลกลาง และเจ้าของบริษัทประชาสัมพันธ์ ส่วนผลการประชุม RBC ชายแดนจันทบุรี-ตราด บรรลุข้อตกลง 13 ข้อตามการประชุม GBC ที่มาเลเซีย ด้าน ผบ.กปช.จต.ย้ำไทยไม่รื้อลวดหนามที่ ต.แหลมกลัด ตามที่กัมพูชาร้องขอ ย้ำทำในดินแดนไทยไม่ใช่พื้นที่กัมพูชาไทยเดินหน้าตอบโต้กัมพูชาที่ปล่อยข่าวให้ร้ายต่อเนื่องด้วยการพาคณะทูตจากประเทศต่างๆ รวมถึงตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาไปดูสภาพความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนที่เกิดจากการโจมตีของทหารกัมพูชา และจุดการพบทุ่นระเบิด ในจ.ศรีสะเกษคณะทูต 33 ชาติดูชายแดนเมื่อเช้าวันที่ 16 ส.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พร้อม นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วย รัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินกองทัพอากาศ ไปยัง จ.อุบลราชธานี แล้วเดินทางต่อไปยัง จ.ศรีสะเกษ เพื่อรับฟังข้อมูลและเหตุผลเกี่ยวกับการดำเนินการของไทย โดยมีคณะทูตและผู้แทน จำนวน 36 คน แบ่งเป็น 33 ประเทศ 1 องค์กร 2 องค์การระหว่างประเทศ สื่อมวลชนไทยและสื่อต่างประเทศ เข้าร่วมพาชมการเก็บกู้ทุ่นระเบิดภูมะเขือทั้งนี้ ก่อนออกเดินทางกระทรวงการต่างประเทศได้บรรยายข้อมูลก่อนออกเดินทาง ให้แก่คณะ โดยนายมาริษกล่าวกับคณะทูตว่า ขอบคุณที่ร่วมเดินทาง และหวังว่าทุกท่านจะได้รับข้อมูลด้วยตาตัวเองถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะเดินทางออกไปยัง จ.ศรีสะเกษ จุดแรกจะพาคณะเดินทางไปยัง โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ เพื่อรับฟังบรรยายสรุปจากกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย จากนั้นช่วงบ่าย จะนำคณะทูต และสื่อมวลชนขึ้นไปยังภูมะเขือ และฐานปฏิบัติการเพื่อดูภูมิประเทศ เยี่ยมชมการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของหน่วยปฏิบัติการด้านทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ภูมะเขือให้นานาชาติเห็นความจริงสำหรับคณะประกอบด้วย ทูตและผู้แทน รวม 36 คน จาก 33 ประเทศ 1 องค์กร และ 2 องค์การระหว่างประเทศ ได้แก่เอกอัครราชทูต 10 คน จาก 9 ประเทศ และ 1 องค์กร ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สหภาพยุโรป เนเธอร์แลนด์ สเปน ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อิตาลี วาติกัน ศรีลังกา และตุรกี อุปทูตรักษาการชั่วคราว 6 คน จาก นอร์เวย์ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย ฟินแลนด์ และโปรตุเกส ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต 17 คน จาก 16 ประเทศ และ 1 องค์กร ได้แก่ ออสเตรเลีย เบลเยียม บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา จีน สหภาพยุโรป เยอรมนี อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมา นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และเปรู ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร 2 คน จากสาธารณรัฐเกาหลี และสวีเดน องค์การระหว่างประเทศ 2 คน จาก Golden West Humanitarian Foundation และ Norwegian People’s Aid การลงพื้นที่ครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้คณะทูตและสื่อมวลชนได้เห็นการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมอย่างใกล้ชิด และเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องต่อประชาคมโลก ซึ่งเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส และยึดมั่นในสันติวิธีและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคชาวบ้านเผย ปสก.เหยียบทุ่นระเบิดผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการนำคณะทูตและผู้แทนจากองค์การต่างประเทศมาที่โรงเรียนภูมิซรอล วิทยา ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในครั้งนี้ ยังมีประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ติดชายแดนและประสบอุบัติเหตุเหยียบกับระเบิดขาขาด จำนวน 6 คน เดินทางมาพบคณะทูตและสื่อมวลชนจากต่างประเทศ นายวิชิน ประสานจิต อายุ 70 ปี ระบุว่า เป็นชาวบ้าน ภูมิซรอล ในช่วงปี พ.ศ.2530 ตนได้พาทหารพรานเดินลาดตระเวนตามแนวชายแดนและได้เดินเข้าไปหาของป่าตามแนวชายแดน เหยียบกับระเบิดทำให้ขาข้างขวาขาด ทำให้ต้องใช้ชีวิตลำบากเดินไปไหนมาไหนลำบาก ทำมาหากินลำบาก การที่อยู่ติดพื้นที่เขตชายแดนพวกตนเองต้องใช้ชีวิตลำบากและได้รับผลกระทบมาก ส่วนตัวไม่เคยไว้ใจกัมพูชาเลย“ชยิกา” ปัด “Michael” สื่อทำเนียบขาวด้าน น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีการรายงานข่าวของนาย Michael A Alfaro บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กล่าวอ้างว่าทหารไทยได้รุกล้ำดินแดน และกีดกันไม่ให้ชาวกัมพูชาเดินทางเข้าออกบ้านเรือน และหมู่บ้านที่เคยเดินทางอย่างสะดวก แม้ภายหลังจะลบหรือซ่อนคลิปดังกล่าวไปแล้ว เบื้องต้นได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงว่า นาย Michael A Alfaro ไม่ใช่ผู้ประกาศทางการของทำเนียบขาว แต่เป็นนักล็อบบี้ยิสต์ระดับรัฐบาลกลาง และเป็นเจ้าของบริษัทประชาสัมพันธ์แห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตันดี.ซี. ชื่อบริษัท Capitol Hill & Friends ที่ใช้ชื่อเพื่อจะสื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับทำเนียบขาว และไม่สามารถยืนยันได้ว่าอยู่กับองค์กรข่าวใดยันรายงานไม่เป็นมาตรฐานน.ส.ชยิการะบุด้วยว่า การรายงานข่าวของนาย Michael A Alfaro ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งของสำนักข่าวต่างประเทศ ที่ต้องระมัดระวังคำพูด และใช้คำที่คงความเป็นกลาง ไม่ฟันธงว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด ดังนั้นข่าวที่นาย Michael รายงานไม่สามารถฟังได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง เป็นเพียงความคิดเห็นของบุคคลคนหนึ่งเท่านั้น ประกอบกับโฆษกกองทัพบกเคยแถลงประณามกัมพูชาที่บิดเบือนข้อเท็จจริงว่าไทยเตรียมโจมตีกัมพูชาอีกครั้ง จนทางการกัมพูชาต้องอพยพประชาชนไปจังหวัดอุดรมีชัย เมื่อ 2 วันก่อนICRC พบ ปชช.ชายแดนไทยกัมพูชาพ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11-14 ส.ค.ที่ผ่านมา กองทัพบกร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ในภารกิจลงพื้นที่เพื่อรับทราบข้อมูลความเสียหายของพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของทหารกัมพูชา มีส่วนราชการจังหวัดเป็นผู้ให้ข้อมูล และประสานงานลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย รวมถึงการเข้าสัมภาษณ์ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงของคณะฯ ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานีย้ำไทยปฏิบัติตามหลักสากลพ.อ.ริชฌากล่าวว่า สำหรับวิธีการปฏิบัติของ ICRC จะมีขั้นตอนตามหลักสากล ดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลาง ไม่ได้ตัดสินถึงความถูกผิดในการสู้รบของแต่ละฝ่าย เน้นการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม จะเข้ารวบรวมข้อมูลในพื้นที่โดยตรง และสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แบบส่วนตัว เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 ว่าด้วยการคุ้มครองและบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้เจ็บป่วย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และผู้นำทางศาสนา จากนั้นจะนำข้อมูลดังกล่าวรายงานให้กับหัวหน้าส่วนราชการของทั้งสองประเทศโดยตรง เพื่อให้รับทราบข้อมูลที่เกิดขึ้น โดยจะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ทั้งนี้เป็นขั้นตอนตามมาตรฐานสากลที่ ICRC ยึดถือปฏิบัติเสมอมา สำหรับบรรยากาศโดยรวมตลอดการดำเนินการ เห็นภาพของความร่วมมือระหว่างกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และคณะ ICRC ในการขับเคลื่อนกลไกด้านมนุษยธรรมสากล ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องว่าต้องมีการปฏิบัติตามหลักสากลอย่างเคร่งครัด“หมู่โอ๋” จะรีบหายกลับไปร่วมสู้ต่อด้านเพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของ “หมู่โอ๋” สิบเอกธนศักดิ์ มาลา ทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เนื้อหาจดหมายมีใจความว่า “วันที่ 15 ของการรักษาที่ผมถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ได้เข้าห้องผ่าตัดอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนท่อมาเป็นท่อเหล็ก หมอบอกให้เริ่มฝึกพูดได้ เป็นสัญญาณที่ดีมาก เพราะผมจะป่วยนานไม่ได้ ต้องรีบหาย เพื่อน พี่ น้องผมยังอยู่แนวหน้าอยู่เลย ผมต้องกลับไปร่วมรบกับเพื่อนพี่น้องของผม ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่มาให้กำลังใจผม และขอขอบคุณทีมพี่หมอ พี่พยาบาลที่ดูแลรักษา ผมจะต้องรีบหายและกลับไปปฏิบัติภารกิจให้ได้พบโดรนบินเหนือฟ้าร้อยเอ็ดส่วนการพบเครื่องบินไร้คนขับหรือโดรน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 20.00 น. ถึง 22.00 น. วันที่ 15 ส.ค. ชาวบ้านตำบลทุ่งกุลา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พบฝูงโดรนบินในพื้นที่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ทั้งนี้ ชาวบ้านระบุว่าเห็นมาหลายวัน แต่เราไม่ทำอะไรเขา เขาคงไม่ทำอะไรเรา ด้านนายพูล บัวลี กำนันตำบลทุ่งกุลา ร่วมกับตำรวจและฝ่ายปกครองได้จัดเวรยามไปสังเกตการณ์ดูโดรนที่บินเข้ามาในพื้นที่ พบว่าบินมาจากทางด้าน อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ มีทั้งบินในระดับสูงและระดับต่ำสังเกตได้ด้วยสายตา ประมาณ 12 ลำ จากการจับตาดูกระทั่งเวลา 24.00 น.ไม่พบโดรนบินเข้ามาในพื้นที่อีก คิดว่าไม่ทำอันตรายแต่จะมาสังเกตการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ทราบ อยากให้ทางราชการมาตรวจสอบประชาชนในพื้นที่ไม่สบายใจต้องมีการจัดเวรยามดูแลกันเองa คาดบินมาจากสุรินทร์ขณะเดียวกันที่บ้านขวาว หมู่ 9 ต.ทุ่งกุลา อ.สุวรรณภูมิ ติดเขตกับตำบลโพนครก อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ ที่มีแค่ลำน้ำพลับพลากั้นเอาไว้ นายชม สุขสบาย อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านขวาว ต.ทุ่งกุลา อ.สุวรรณภูมิ บอกว่าเห็นโดรนมาหลายวันแล้ววันละ 4-5 ลำ แต่เมื่อค่ำวันที่ 15 ส.ค.รู้สึกว่าผิดปกติมีฝูงโดรนลำใหญ่ๆ เพิ่มมากขึ้นและฝูงโดรนบินรอบวนเวียนไปมาในหมู่บ้าน ชาวบ้านได้แต่ดูและไม่ทำอะไร โดรนคงไม่มาทำอันตรายชาวบ้าน สงสัยคิดว่าเป็นเพราะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในขณะเดียวกันอยากให้ทางราชการที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบเพื่อความชัดเจนอีกครั้งว่าโดรนเป็นของฝ่ายใดและมีจุดประสงค์อะไรเพราะโดรนบินมาแต่ตอนกลางคืนแห่ประดับธงชาติไทยสำหรับบรรยากาศชายแดนที่ช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลอดช่วงเช้าวันที่ 16 ส.ค.ยังคงเงียบเหงา มีร้านค้าเปิดไม่มาก เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ ยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์ เฝ้าระวังและเตรียมพร้อมที่จะอพยพได้ทุกเมื่อ หากเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าตามบ้านเรือนในพื้นที่มีการประดับธงชาติไทยที่หน้าร้านค้าและหน้าบ้านกันอย่างหนาตา รวมไปถึงรถยนต์ มีทั้งธงเป็นผ้า และพิมพ์ผ้าไวนิลขนาดใหญ่ติดหน้าร้าน พร้อมมีคำว่า “เรารักประเทศไทย” แม้กระทั่งรถจักรยานยนต์พ่วงข้างเร่ขายไก่ย่าง ยังติดธงชาติและข้อความเรารักประเทศไทยเช่นกัน นอกจากนี้ ร้านขายเสื้อของคนไทย นำเสื้อลวดลายธงชาติมาแขวนขายริมทางในราคาไม่แพง เริ่มต้นไซส์เล็กของเด็ก 120 บาท และของผู้ใหญ่แล้วแต่ขนาด การประดับธงชาติทั้งหมดแสดงออกถึงความรักชาติ เป็นภาพที่น่าประทับใจแก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ พ่อค้าแม่ค้าชาวไทย ต่างนำสินค้ามาวางขายข้างทาง หวังหารายได้ใช้ในครอบครัวในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ที่ตลาดชายแดนเงียบเหงา พร้อมมีการเชิญชวนให้คนไทยอุดหนุนสินค้าของคนไทยด้วยกันด้วยทภ.1 แจงเหตุไม่ถล่มบ่อนวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทัพภาคที่ 1 ชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ที่ตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมการปฏิบัติการชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงวันที่ 24-28 กรกฎาคม ที่ผ่านมาไม่ได้ใช้กำลังโจมตีเป้าหมายทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น บ่อนกาสิโน หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งปอยเปต พร้อมยืนยันการดำเนินการของฝ่ายไทยยึดตามกฎการปะทะและหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เน้นปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ กองทัพบกได้กำหนดพื้นที่ปฏิบัติการหลักและรองอย่างชัดเจน กองทัพภาคที่ 2 รับผิดชอบพื้นที่หลัก ส่วนกองทัพภาคที่ 1 และกองกำลังจันทบุรี-ตราดของกองทัพเรือเป็นพื้นที่ปฏิบัติการรอง การใช้กำลังทุกขั้นตอนเป็นไปตามสายการบังคับบัญชาและความเร่งด่วนในสถานการณ์ย้ำไทยไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือนสำหรับกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว ได้วางแผนและเตรียมการรอบคอบเป็นพิเศษ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความหนาแน่นของชุมชนทั้งสองประเทศ แตกต่างจากพื้นที่ปฏิบัติการของกองทัพภาคที่ 2 ดังนั้น การปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1 มุ่งเน้นโจมตีเฉพาะสิ่งปลูกสร้างทางทหารที่รุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยไทยเท่านั้น ไม่มุ่งเป้าไปที่เป้าหมายพลเรือนหรือกิจการเศรษฐกิจ การดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตาม Rules of Engagement (ROE) และสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (Interna tional Humanitarian Law-IHL) เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สะท้อนถึงความชอบธรรมของฝ่ายไทยในการปกป้องอธิปไตย และยังเป็นการแสดงออกถึงความพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการใช้กำลังทางทหารเพียงมิติเดียวประชุม RBC วันที่สองสำหรับบรรยากาศการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 กองทัพบก ประเทศกัมพูชา หรือการประชุมคณะกรรมการเขตแดนภูมิภาค (RBC) วาระพิเศษ ในวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่ 2 จะมีการลงนามเพื่อรับรองการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 โดยเมื่อวันที่ 15 ส.ค.มีการประชุมคณะทำงานกองเลขานุการ ทั้ง 2 ฝ่ายไปแล้วนั้น มีการรองรับไป 90 เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ จากข้อเสนอ 13 ข้อในการประชุมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ผ่านมา ก่อนมีพิธีลงนาม โดยการประชุมเริ่มขึ้นในเวลา 10.45 น. โดยมี พล.ร.ท.อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผบ.กปช.จต. เป็นหัวหน้าคณะผู้ประชุมฝ่ายไทย และ พล.ท.อุย เฮียน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 3 หัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา ที่ประกอบด้วย คุณหญิงมิถุนา ภูทอง ผู้ว่าราชการ จ.เกาะกง พลตรีมุน ซาเมอดี รอง ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 3 พลเรือตรีสด ซาเรือน รอง ผบ./เสธ.นปก.ชฝ.กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 30 คน ส่วนผู้ที่มาร่วมการประชุมเป็นสักขีพยาน ฝ่ายไทยประกอบด้วย น.อ.ภริศวร์ วงษ์เพ็ญศรี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (ผบ.ฉก.นย.ตราด) นายพีระ เอี่ยมสุนทร รอง ผวจ.ตราด นายสามารถ หมั่นนอก ปลัดจังหวัดตราด นายเทอดศักดิ์ ชุมนาเสียว นายอำเภอคลองใหญ่ร่วมลงนาม 13 ข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการเขตแดนภูมิภาค (RBC) วาระพิเศษ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา จัดขึ้นตามข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (GBC) ที่ให้ทั้ง 2 ฝ่ายหารือร่วมกัน บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยมิตรไมตรีและความจริงใจ ทั้งสองฝ่ายแสดงเจตนารมณ์กันที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อนำไปสู่ความมั่นคงและความผาสุกของประชาชนทั้งสองประเทศ ภายหลังประชุมประมาณ 1 ชม. มีการลงนามอย่างเป็นทาง การ โดยที่ประชุมยืนยันและเห็นชอบร่วมกันในข้อตกลง 13 ข้อจากการประชุม GBC ก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปในด้านการสร้างความเข้าใจลดความตึงเครียด และรักษาสันติภาพตามแนวชายแดนและทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการจัดตั้งชุดประสานงานในพื้นที่ตั้งแต่ ผบ.กองกำลังจนถึงระดับ ผบ.หน่วยในพื้นที่ จะมีการหารือในการจัดตั้งการประชุม RBC ครั้งต่อไปไทยไม่รื้อลวดหนามแหลมกลัดต่อมา ผบ.กปช.จต.กล่าวว่า กรณีที่มีการปรากฏว่าทหารกัมพูชาเดินเข้ามาหาทหารไทยในพื้นที่ตำบลแหลมกลัด เพื่อให้ทหารไทยนำลวดหนามออกนั้น ทาง ผบ.กปช.จต.ระบุว่า ไม่อยู่ในพื้นที่ของทหารภูมิภาคที่ 3 แต่อยู่ในพื้นที่ทหารภูมิภาคที่ 5 ทางทหารไทยไม่ได้รื้อถอนตามที่มีการร้องขอ เช่นเดียวกับ น.อ.ภริศวร์กล่าวว่า กรณีที่ทหารกัมพูชาได้ขอให้ทหารไทยนำลวดหนามออกจากพื้นที่ในตำบลแหลมกลัด ตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อออนไลน์นั้นทาง ฉก.นย.ตราดได้แจ้งให้ทหารกัมพูชาว่า จะไม่ดำเนินการนำลวดหนามออก เนื่องจากเราต้องการป้องกันพื้นที่อาณาเขตของไทย ซึ่งทหารกัมพูชาเข้าใจและออกจากพื้นที่ไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวานนี้กัมพูชาเมินเก็บระเบิด–ปราบสแกมเมอร์ด้าน พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงผลการประชุม RBC ที่บ้านทะเลภูรีสอร์ท อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ด้วยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นไปตามกรอบ GBC เน้นย้ำประเทศไทยมุ่งไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีตามกติกาสากล ฝ่ายไทยมีการเพิ่มข้อเสนอเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และการปราบปรามสแกมเมอร์ ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับความร่วมมือใดๆจากทางกัมพูชาเท่าที่ควรและจากผลการประชุมในวันนี้ยังไม่ได้การตอบรับใดๆจากฝ่ายกัมพูชา ยังหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความจริง ใจในการสนับสนุนภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามสแกมเมอร์ในการประชุมครั้งต่อไปมั่นใจคณะทูตเข้าใจข้อเท็จจริงขณะเดียวกัน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2568 ณ เวลา 14.00 น. ดังนี้ สถานการณ์โดยรวม ฝ่ายไทยเชิญคณะทูตต่างประเทศ และจากประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ตลอดจนประเทศและองค์กรผู้สนับสนุนการเก็บกู้ ทุ่นระเบิด 33 ประเทศ ลงพื้นที่ชายแดนด้านกองทัพภาคที่ 2 เพื่อให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง และเห็นหลักฐาน เชิงประจักษ์ว่าฝ่ายกัมพูชามีการใช้ทุ่นระเบิดทำร้ายฝ่ายไทย และมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ คณะทูตต่างประเทศได้แสดงความเข้าใจในข้อเท็จจริง และจะนำข้อมูลไปรายงานต่อรัฐบาลของตน รวมถึงเผยแพร่ความจริงต่อสาธารณชนต่อไปกพช.ส่อใช้ ผช.ทูตทหารเป็นโล่มนุษย์นอกจากนี้ ทภ.2 ระบุด้วยว่า พื้นที่ช่องอานม้า เป็นพื้นที่ที่มีความล่อแหลมและยังคงมีอันตรายจากสรรพาวุธที่ยังไม่ระเบิดของฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทย ได้จัดชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด (EOD) ปฏิบัติการตรวจสอบและเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชามิได้ให้ความร่วมมือ อีกทั้ง เมื่อวันที่ 15 ส.ค.2568 ยังได้นำคณะผู้ช่วยทูตทหารเข้ามาในพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการนำบุคคล ต่างชาติไปเผชิญอันตราย และอาจเข้าข่ายการใช้คณะ ผู้ช่วยทูตทหารเป็นโล่มนุษย์กัมพูชาทำเฟกนิวส์ยึดพื้นที่ซำแตส่วนที่ปรากฏข่าวสารในสื่อออนไลน์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าสามารถยึดพื้นที่ ทำลายถนน และปลดธงชาติไทยในพื้นที่ตามแนว ชายแดนได้นั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่บริเวณหมู่บ้านเดโช เบาะสะเบา อยู่ตรงข้ามช่องซำแต ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 500 เมตร ฐานเสาธงที่ปรากฏในสื่อนั้นคาดว่าเป็นเสาธงของหน่วยทหารกัมพูชาเอง แต่มีการตัดต่อภาพ ให้คล้ายเป็นธงชาติไทย ขอยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่เป็น “ข่าวปลอม (Fake News)” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและลดกระแสกดดันภายในประเทศเท่านั้นบิดเบือนหวังคนกัมพูชาหวาดกลัวทภ.2 ระบุด้วยว่าการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่เผยแพร่ข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นพฤติกรรมที่มุ่งหวังบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความหวาดกลัว ในหมู่ประชาชนตนเอง และใช้เป็นเหตุผลอ้างอิงในการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ได้ปรากฏให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทุกครั้ง ก่อนที่กัมพูชาจะดำเนินการทางทหารกับ ฝ่ายไทย จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการบิดเบือนข่าวสาร ในครั้งนี้มิใช่เพียงการสร้างกระแสในสังคม แต่เป็นการ ปูทางเพื่อเตรียมการเผชิญหน้าทางทหาร กองทัพไทย จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอยืนยันว่า ประเทศไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติอย่างถึงที่สุดชายแดนโคกสูงตึงเครียดอีกด้านหนึ่งที่บริเวณจุดผ่านแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง หมู่ 9 จ.สระแก้ว ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ตลอดช่วงบ่ายวันที่ 16 ส.ค. เกิดความตึงเครียดขึ้น อีกครั้ง เมื่อชาวกัมพูชาหลายสิบคนออกมาชุมนุมและกดดันทหารไทย มีการตะโกนเรียกร้องให้ไทยรื้อถอนรั้วลวดหนามหีบเพลงที่ปิดกั้นทางเข้าออกของหมู่บ้าน โดยรั้วลวดหนามดังกล่าวถูกฝ่ายไทยขึงกั้นเพิ่มเติมเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงการเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อความมั่นคง ทหารไทยยืนยันว่าการดำเนินการอยู่ภายในเขตแดนไทยอย่างถูกต้องกัมพูชาโวยรั้วลวดหนามขวางทางขณะที่ชาวกัมพูชาที่ออกมาประท้วง อ้างว่า รั้วลวดหนามทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้เส้นทางเข้าออกได้สะดวก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่สองฝั่งชายแดนจึงรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายไทยยกเลิกรั้วดังกล่าว ทหารจากกองกำลังบูรพาและตำรวจตระเวนชายแดน ต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้ง พยายามเจรจาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุบานปลาย ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ทางการกัมพูชาส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมาสังเกตการณ์และให้กำลังใจชาวบ้าน แต่ไทยยังไม่มีการรื้อถอนรั้วลวดหนามตามที่ชาวกัมพูชาเรียกร้อง เนื่องจากพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดสระแก้ว มีความเปราะบางต่อปัญหาการลักลอบ เข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบขนของผิดกฎหมายย้ำไทยไม่มีระเบิด TNM 2นายนิกรเดชกล่าวอีกว่า ในส่วนที่ 2 กระทรวงมหาดไทยพูดถึงการละเมิดพลเรือน คือบ้านเรือนประชาชนเป็นเป้าหมายในการถูกโจมตี และการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชน กระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำจดหมายหรือหนังสือประท้วงขั้นรุนแรงที่สุดถึงองค์การสหประชาชาติ ส่วนที่ 3 จะเป็นฝ่ายทหาร จะให้ข้อมูลทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับระเบิด TNM 2 ที่กัมพูชานำมาใช้ เพราะไทยไม่ได้มีระเบิดชนิดนี้ หลังจากที่ประชุมชี้แจงเสร็จคณะทูตและสื่อมวลชนขึ้นไปดูพื้นที่จริง เพราะต้องการให้คณะทูตและสื่อมวลชน ได้รับรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาสนับสนุนมานั้นนำมาทำอะไรบ้าง จะได้รับทราบข้อเท็จจริง แล้วให้สื่อสารหรือสะท้อนให้ทั่วโลกได้เห็นและได้ทราบความเป็นจริงจากฝ่ายไทย โดยเฉพาะกับ fake new จากกัมพูชา22 ส.ค.ประชุมรัฐภาคีออตตาวาจากข้อตกลงในเรื่อง Ottawa Convention มาตรา 8 วรรค 2 พูดถึงการเรียกร้องให้ประเทศภาคีปฏิบัติตามอนุสัญญา เป็นข้อตกลงกันระหว่างประเทศ จะบอกไม่ทราบไม่ได้ ดังนั้นในเดือนธันวาคมที่ถึงนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการ เรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศมาคุยตกลงกัน ไทยเข้าร่วมประชุมอยู่ตลอด จะมีการประชุมอีกครั้งคือในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ ไทยจะเข้าประชุมทุกครั้งและกัมพูชากำลังจะถูกเรียกให้เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะไทยได้รวบรวมและส่งหลักฐานเข้าไปในหลายโอกาสและในหลายหัวข้อพระราชทานเพลิงศพ “น้องน้ำโขง”ส่วนที่ศาลาบำเพ็ญกุศล วัดประทุมเมฆ อ.เมืองสุรินทร์ เวลา 14.00 น. วันที่ 16 ส.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเพลิงศพนายบัณฑิต อุ่นจิตร และเด็กชายฐิติวัฒน์ บุญแต่ง หรือน้องน้ำโขง ผู้เสียชีวิตจากเหตุกัมพูชายิงระเบิด BM-21 มาตกที่บ้านโจรก ตำบลด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ มีนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานพิธี และได้กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งกับเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการเยียวยาให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต พร้อมกันนี้มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อการกุศล ได้ร่วมกันก่อสร้างบ้านหลังใหม่ให้คุณยายสะทน กันภัย และครอบครัวที่ยังบอบช้ำจากเหตุการณ์ มูลนิธิฯกำลังติดตามงานอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พร้อมจัดหาสิ่งของจำเป็นและอุปกรณ์ทำกินให้ครบถ้วนอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่