ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา "กรุงเทพมหานคร" อากาศร้อนอบอ้าวผิดปกติ ทั้งที่อยู่ในช่วงฤดูฝน หลายๆคนมีคำถาม... เกิดอะไรขึ้นกับสภาพอากาศ มีสาเหตุอะไรผิดปกติหรือเปล่า?อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม บอกว่า ต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ กรุงเทพฯมีลักษณะอากาศที่ “ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแต่ร้อนผิดปกติ” ถึงแม้จะดูเหมือนฝนจะตกหรือมีเมฆมาก แต่กลับรู้สึกว่ามีอากาศร้อนอบอ้าวกว่าปกติอย่างชัดเจนสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน 4 ด้าน ดังนี้ หนึ่ง...ฝนตกไม่สม่ำเสมอ...ฝนทิ้งช่วง เช่น ระหว่างวันที่ 1-5 ส.ค.2568 มีฝนตกน้อยกว่าปกติ แม้ท้องฟ้าจะครึ้ม แต่ไม่มีฝนมากแต่อย่างใด พื้นดินและอาคารยังคงสะสมความร้อนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไม่มีฝนมาชะล้างหรือคลายความร้อน สอง...แดดแรง...แม้ไม่มีแสงจ้า เมฆในท้องฟ้าบางชนิด เช่น “เมฆสลัว” หรือ “เมฆบางในชั้นสูง” กรองแสงได้ไม่หมด ความร้อนจากแสงแดดยังทะลุลงมาถึงพื้นดิน ทำให้อากาศร้อนแม้จะดูเหมือนจะไม่มีแสงแดดในขณะที่ลมสงบ จึงเกิดความรู้สึกร้อนอบอ้าวเนื่องจากไม่มีลมระบายสาม...ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้อ่อนกำลัง โดยปกติในช่วงนี้ควรมีลมมรสุมพัดพาฝนหรือความชื้นจากอ่าวไทยเข้าสู่แผ่นดินอย่างต่อเนื่องแต่ช่วงนี้ลมมรสุมกลับ “อ่อนกำลัง”...พัดพาฝนหรือความชื้นเข้ามาได้น้อยลง...ฝนกระจายไม่ทั่ว...อากาศจึงร้อนชื้นและอบอ้าวสี่...เกิดการสะสมความร้อนของเมือง (Urban Heat Island) อาคาร ถนนซีเมนต์ในกรุงเทพฯจะดูดซับความร้อนในช่วงเวลากลางวันไว้มาก แล้วจะค่อยๆคลายความร้อนออกมาในเวลากลางคืน..ทำให้เกิดสภาวะ “อากาศร้อนทั้งกลางวันและกลางคืน”จากปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเกิดสภาวะอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ในช่วงต้นสิงหาคม 2568 กรุงเทพฯ อุณหภูมิแตะ 34-37°C โดยปกติควรอยู่ในราว 31-33°C...แสดงว่าอากาศ “ร้อนผิดปกติ” จริงนอกจากนี้ยังมีค่าความชื้นสัมพัทธ์สูงด้วยจึงรู้สึก “อบอ้าว” มากขึ้นด้วยในภาพใหญ่คำถามสำคัญมีว่า...เมื่อโลกร้อนถึง 1.5 และ 2.0 องศาฯ...จะเกิดอะไรขึ้น? อาจารย์สนธิ บอกว่า พ.ศ.2567 ถือเป็นปีที่มีอากาศร้อนที่สุดในโลกเท่าที่เคยบันทึกไว้ เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างสุดขั้วเป็นสาเหตุหลัก นอกจากนี้ปี 2567 ยังเป็นปีแรกที่อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมน่าสนใจว่า..ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส...สภาพอากาศจะรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น เช่น เกิดคลื่นความร้อน และฝนตกหนัก, เกิดการละลายอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทั้งยังเกิดการหดตัวของน้ำแข็งในทะเลอาร์กติก, มหาสมุทรที่อุ่นขึ้น ทำให้เกิดพายุบ่อยขึ้นรุนแรงขึ้นและความร้อนของน้ำทะเลจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลเนื่องจากระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงเกิดการพังทลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ กระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกอุ่นขึ้นและเกิดการสูญเสียป่าฝนอะเมซอนเพิ่มเติม...การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนและเศรษฐกิจทั่วโลกแล้วดังเช่นในปี 2565 พื้นที่บางส่วนของแอฟริกาตะวันออกประสบภัยแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปีส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 20 ล้านคน เสี่ยงต่อความหิวโหยอย่างรุนแรงนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น “มนุษย์” ได้เริ่มเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมาก ทำให้มีปริมาณ CO2 ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในปี 2567ซึ่งสูงกว่าระดับที่เคยพบเห็นในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของโลกมาก งานวิจัยพบว่า CO2 ที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้นี้มีลักษณะทางเคมีที่โดดเด่นซึ่งตรงกับชนิดของ CO2 ที่พบมากขึ้นในชั้นบรรยากาศ... ประเด็นสำคัญมีว่าโอกาสที่อุณหภูมิโลกจะสูงเกิน 2.0 องศาเซลเซียส ภายในปี 2593 มีอยู่สูงมาก หากโลกยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับเท่ากับปัจจุบันหรือเพิ่มขึ้น...สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับ 2 ของโลกได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะใช้พลังงานจากฟอสซิลเพิ่มขึ้น ทั้งยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าหากภาวะโลกร้อนขึ้นถึง 2 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น จะส่งผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรงมาก ได้แก่ คนจำนวนมากจะต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนจัดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น, ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นเนื่องจากธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งละลายเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกบางแห่งอาจจะหายไปและอาจจะเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงในประเทศริมทะเลโดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารจะเพิ่มมากขึ้นในบางภูมิภาคเนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นอาจเกิดความแห้งแล้ง...ฝนตกหนักอย่างสุดขั้วนับรวมไปถึงมีโอกาสที่จะเกิดเชื้อโรคที่ไวต่อสภาพอากาศบางชนิดแพร่กระจายไปทุกพื้นที่ เช่น ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย สูงขึ้น, สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่กำลังถูกคุกคามจนสูญพันธุ์ เนื่องจากระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลง, เกิดการสูญเสียแนวปะการังเกือบทั้งหมดการที่โลกจะร้อนขึ้นถึง 1.5 หรือ 2.0 องศาเซลเซียส ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาที่แก้ไขไม่ได้ แต่เป็นผลมาจากการตัดสินใจและการกระทำของเราในวันนี้...ทุกการลงทุนในพลังงานสะอาด ทุกการลดการใช้พลาสติก และทุกเสียงที่เราเปล่งออกมาเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง...ล้วนมีความหมาย“มนุษย์” ต้องไม่ลืมเป้าหมายสูงสุดคือการป้องกันไม่ให้โลกเข้าสู่จุดวิกฤติเหล่านั้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม