สมรภูมิสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาส่อเค้าเป็นจุดเชื่อมการแข่งขันของมหาอำนาจจีน-สหรัฐฯที่ต่างจะเข้ามาแทรกแซงช่วงชิงอิทธิพลในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหัวใจสำคัญทำให้ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา “อาจไม่ใช่เรื่องทวิภาคี” แต่จะเป็นสนามแข่งขันอำนาจระหว่างพญามังกรกับพญาอินทรีจากฝ่ายกัมพูชา เดินเกมให้มหาอำนาจเข้ามาเพื่อยกระดับสถานะต่อรองของตนเองยุทธศาสตร์นี้แม้ดูชาญฉลาดในเชิงการทูต “แต่เต็มด้วยความเสี่ยง” ที่กัมพูชาเปิดอธิปไตยให้เป็นจุดเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจอาจเป็นดาบสองคมต่อเสถียรภาพภายใน และดึงภูมิภาคเข้าสู่วังวนความตึงเครียด รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองว่า จริงๆแล้วกัมพูชาดำเนินแผนการหลายลำดับขั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ “การนำความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศ” โดยเฉพาะศาลโลก และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาคมโลกหันมาจับตา “ลักษณะไทยเป็นผู้รุกราน” แต่แผนนี้ไม่เป็นไปตามเป้าเท่าที่ควรเมื่อแผนหลักไม่สำเร็จ “กัมพูชา” ก็หันมาใช้แผนสำรองเรียกร้องหยุดยิงแล้วเชิญคณะทูตต่างชาติเข้าตรวจชายแดนนำเสนอว่า “ไทยเป็นผู้รุกรานได้ไม่สมบูรณ์” เพราะหลังหยุดยิง 28 ก.ค.2568 กระบวนการแก้ปัญหายังอยู่ภายใต้กลไกทวิภาคีตามแนวทางไทยยึดถือต่างแค่กัมพูชานำคณะทูตประจำในประเทศเข้าตรวจแนวชายแดนซึ่งหวังผลักดันสถานการณ์ให้เป็นประเด็นในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้น “ฝ่ายไทย” ก็สามารถตอบโต้ชี้แจงด้วยข้อมูล และหลักฐานที่ปรากฏนำมาหักล้างข้อกล่าวหาได้อย่างครบถ้วนชัดเจนเช่นกันทว่าในส่วนท่าที “มาเลเซียก็ถือว่าอยู่ในจุดเป็นกลาง” โดยเฉพาะบทบาทของประธานอาเซียนที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างรัฐสมาชิก “แม้ไม่อาจประเมินท่าทีมาเลเซียได้ว่าจะเอนเอียงไปทางใด” แต่ในทางปฏิบัติที่ปรากฏต่อสาธารณะก็ทำหน้าที่ผู้นำอาเซียนในการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกให้เบาลงได้ เพื่อให้ภูมิภาคนี้เกิดเสถียรภาพแล้ว “อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ประธานอาเซียน” ก็มีความเชื่อมโยงทั้งผู้นำฝ่ายไทย และกัมพูชา ทำให้เอื้อต่อการประสานความร่วมมือ และการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเพียงแต่ฝ่ายไทยกังวลกับสถานที่จัดประชุมในกรุงพนมเปญอาจไม่เป็นกลางก็เลยเปลี่ยนสถานที่มาที่มาเลเซียแทนสะท้อนถึงบทบาทมาเลเซีย “ในฐานะประธานอาเซียน” สามารถจัดการกับความอ่อนไหวทางการเมืองระหว่างประเทศสมาชิกได้อย่างเหมาะสม และช่วยรักษาสมดุลระดับภูมิภาคในสถานการณ์นี้ได้ประเด็นในการหารือครั้งนี้คือ “มหาอำนาจอย่างจีน และสหรัฐฯเข้ามาเกี่ยวข้องร่วมด้วย” สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯเริ่มเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ด้วยการใช้มูลเหตุจากความขัดแย้งระหว่างไทย และกัมพูชาเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้น ยิ่งกว่านั้นคือ “กัมพูชาปรับนโยบายต่างประเทศจากเดิมที่ฝักใฝ่จีน” แต่มาวันนี้โค้งหักศอกหันไปกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ “สร้างความไม่พอใจให้จีน” ซึ่งคาดว่าจีนน่าจะมีมาตรการตอบโต้ตามมาแน่นอนไม่เท่านั้นการขยับเชิงนโยบายนี้ “สหรัฐฯและจีน” มีแนวโน้มมามีบทบาทในข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชามากขึ้น ทำให้กัมพูชากลายเป็นจุดเสี่ยงทางยุทธศาสตร์เกี่ยวกับฐานทัพ และการแข่งขันของอิทธิพลในอ่าวไทย “อันเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก” ที่กำลังจะเป็นเวทีใหม่ของการปะทะกันระหว่าง 2 มหาอำนาจนี้แล้วก็มีนัยว่าไทย-กัมพูชากำลังถูกดึงเข้าไปอยู่ในเกมบนกระดานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกโดยไม่อาจควบคุมทิศทางได้เต็มที่ เพราะที่ผ่านมาจีนก็พยายามเข้ามาครอบคลุมภูมิภาคนี้ผ่านยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง “สหรัฐฯ” ก็มีนโยบายยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก มีเป้าหมายรักษาอำนาจใน 2 มหาสมุทรเช่นกันเช่นนี้เมื่อไทย และกัมพูชาตั้งอยู่ใน “จุดยุทธศาสตร์ใจกลางของอินโด-แปซิฟิก” ย่อมไม่สามารถเลี่ยงให้พ้นจากอิทธิพลของจีน และสหรัฐฯ ที่ต่างต้องการเข้ามามีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์แห่งนี้ หากมาดูในมุม “สหรัฐฯ” มีจุดน่าสนใจของแนวคิดอินโด-แปซิฟิกถูกผลักดันให้เป็นรูปธรรมตั้งแต่ในยุคของทรัมป์สมัยแรกๆ แต่ช่วงต้นวาระที่ 2 ก็ยังไม่แสดงท่าทีให้ความสำคัญกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างชัดเจน เพราะมุ่งเน้นแก้ปัญหาในยูเครน ตะวันออกกลาง และการเสริมสร้างอิทธิพลในซีกโลกตะวันตกแต่พอมีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา “กลับเป็นจุดสปาร์กที่ดึงให้สหรัฐฯ” ต้องหันมาเล่นบทในอินโด-แปซิฟิกโดยปริยายทำให้แนวทางเผชิญหน้าของสหรัฐฯ-จีนในยุคทรัมป์ชัดเจนขึ้นเพราะถ้าหากสหรัฐฯ ต้องการถ่วงดุลปิดล้อมจีนอย่างจริงจัง “อินโด-แปซิฟิก” อันรวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญดังนั้นสหรัฐฯจะเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาคนี้ได้ก็ต้องจัดวางโครงสร้างทางทหาร หรือจุดยุทธศาสตร์ใหม่ในพื้นที่มหาสมุทร อินเดีย หรือทะเลอันดามัน ตามรายงานก็ปักหมุดมาที่ทัพเรือละมุ จ.พังงา หากมาใช้พื้นที่ทะเลอันดามันของไทยได้ก็จะปิดช่องแคบมะละกาสามารถใช้เป็นจุดถ่วงดุลอิทธิพลจีนในพม่าได้มากยิ่งขึ้น อีกภูมิศาสตร์คือ “พื้นที่อ่าวไทย” เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร แปซิฟิกในช่วงที่ผ่านมา “จีน” เข้ามาลงทุนในสีหนุวิลล์ของกัมพูชาทั้งท่าเรือเรียม และฐานทัพอากาศดาราสาคร ทำให้มีบทบาทพัฒนาโครงการเหล่านี้ปัญหาคือถ้ากัมพูชาอนุญาตให้สหรัฐฯเข้ามาใช้พื้นที่สร้างฐานทัพก็เท่ากับต้องเผชิญหน้ากับจีนคงไม่ยอม แต่โดยเกมนี้นายกฯฮุน มาเนต กำลังมองว่าจะปล่อยให้ 2 มหาอำนาจแข่งขันแย่งชิงอิทธิพลกันในกัมพูชา เพื่อจะเปิดโอกาสให้กัมพูชายกระดับอำนาจต่อรองทั้งในเวทีระหว่างประเทศ และการเจรจาความขัดแย้งกับไทย แต่ว่ากัมพูชากำลังเสี่ยงเปิดพื้นที่อธิปไตยของตัวเองให้กลายเป็นจุดเผชิญหน้า “ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ” ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดเกินควบคุม และกระทบเสถียรภาพภายในประเทศระยะยาว ขณะเดียวกันไทยเองก็ไม่อาจประมาทได้ เพราะมีพรมแดนติดกัมพูชาโดยตรงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเช่นกันนี่คือเส้นทางความเป็นไปได้ “จีนและสหรัฐฯ” เข้ามามีบทบาทเบื้องหลังความขัดแย้งไทย–กัมพูชาผ่านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก เพื่อถ่วงดุลและขยายอิทธิพลที่ไทย-กัมพูชากำลังจะถูกลากเข้าไปเป็นหมากในเกมของมหาอำนาจเกินกว่าจะคาดคิดได้...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม