เหตุ “พลุระเบิด” ในบริเวณบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ที่ 1 บ้านโพธิ์ทราย ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีครั้งล่าสุด ทำให้บ้านเรือนได้รับความเสียหาย 2 หลัง เบื้องต้นได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 9 ศพ ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย น่าสนใจว่าเหตุการณ์พลุระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้งแล้วในพื้นที่ตำบลบ้านโพธิ์ จังหวัดสุพรรณบุรีคำถามสำคัญมีว่า “โรงทำพลุดอกไม้เพลิง” ตั้งในชุมชนทำให้คนงานและชาวบ้านใกล้เคียงมีความเสี่ยงพร้อมตายตลอดเวลา... เพราะอะไร? อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม เปิดประเด็นพร้อมย้ำว่าโรงทำพลุดอกไม้เพลิงระเบิดเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่บ้านโพธิ์ทราย...พื้นที่บ้านโพธิ์เคยเกิดเหตุการณ์โรงทำพลุระเบิดมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ในปี 2549, 2558, 2565 และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 พุ่งเป้าไปที่...ใบอนุญาตในการประกอบกิจการผลิตพลุไฟที่ต้องมี ได้แก่1.ใบอนุญาตตั้งสถานประกอบกิจการจากนายอำเภอท้องที่ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 หากพบว่าที่เก็บทำหรือค้าดอกไม้เพลิงอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนนายทะเบียนคือนายอำเภอสามารถสั่งย้ายที่ตั้งได้2.ใบอนุญาตให้มีสารโปแตสเซียมคลอไรด์ตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 หากมีมากกว่า 3,000 กก. (ปีต่อปี) ต้องขออนุญาตต่อกระทรวงกลาโหม3.ใบอนุญาตการประกอบกิจการจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ต่ออายุทุกปี) ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535และ 4.ใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตราย (ใบ วอ. ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย 2535) คือ สารโปแตสเซียมคลอเรต, สารซัลเฟอร์หรือกำมะถัน, สารโปแตสเซียมไนเตรตและสารแบเรียมไนเตรต ขอจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมอาจารย์สนธิ บอกอีกว่า โรงทำพลุแห่งนี้ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2562 เนื่องจากมีเครื่องจักรต่ำกว่า 50 แรงม้า หรือมีคนงานต่ำกว่า 50 คน จึงไม่ต้องมีใบอนุญาตหรือใบ รง.4แต่จะกลายเป็นสถานประกอบการที่อยู่ในการกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงตามประกาศประเภทและขนาดกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมและความปลอดภัยของสถานประกอบการทำพลุดอกไม้เพลิงแห่งนี้ คือ “นายอำเภอเมือง” และ “นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” เนื่องจากต้องมีการต่ออายุใบอนุญาตการเป็นสถานประกอบการทุกปีแต่...ถ้าหากเป็น “โรงทำพลุเถื่อน” ก็ต้องรีบจัดการสั่งปิดทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ลักลอบทำมาหลายปี...โดยอ้างไม่รู้ไม่ได้ เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ในการดูแลของ อบต.บ้านโพธิ์คำถามตามมาก็คือ “อำเภอเมือง” และ “นายก อบต.บ้านโพธิ์” ได้มีการตรวจสอบโรงทำพลุแห่งนี้หรือไม่? ตามกฎหมายการประกอบกิจการทำพลุต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องระบบความปลอดภัย ในการทำงาน เช่น ต้องควบคุมอุณหภูมิในห้องผลิตไม่เกิน 30 องศา, ในอาคารต้องใช้อุปกรณ์ทุกชนิดที่ห้ามเกิดประกายไฟ, มีสายล่อฟ้ากันฟ้าผ่า, ทุกๆระยะทาง 100 เมตรในอาคารต้องมีเครื่องดับเพลิงชนิด CO2 แบบแห้ง 2 ตัว...ต้องเก็บสารเคมีอันตรายภายในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีระบบการระบายอากาศที่ดี, มีระบบความปลอดภัยโดยติดตั้งทั้ง smoke meter และ Water springer ต้องมีรายงานการประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตที่สำคัญ...ต้องมีการซ้อมแผนฉุกเฉินและแผนเผชิญเหตุรวมทั้งแผนอพยพทุกปี เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นวิชาการที่ลงรายละเอียดเฉพาะ ดังนั้นหากได้มีการตรวจสอบสถานประกอบการและมีความหละหลวมหรือหย่อนยานจะเป็นที่มาของการทำงานอย่างไม่ปลอดภัยจนเกิดอุบัติภัยครั้งใหญ่ขึ้นได้“โรงทำพลุ” และ “ดอกไม้เพลิง” ทุกขนาดจัดเป็นกิจการที่อันตรายอย่างมาก ดังนั้นควรต้องกำหนดให้ต้องเป็นโรงงานประเภทที่ 3 ที่มีความเสี่ยงสูงตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2562 เท่านั้น โดยกำหนดไว้ในกฎกระทรวงเรื่อง “กำหนดชนิดและขนาดของโรงงาน พ.ศ.2563” ซึ่งต้องมีการยื่นขออนุญาตตั้งโรงงานก่อนจึงจะให้ตั้งได้ โดยต้องมีที่ตั้งที่ห่างไกลชุมชนอย่างน้อย 500 เมตร และต้องตั้งอยู่ในแผนผังการใช้ที่ดินสีม่วงเท่านั้นรวมทั้งต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับหัวหน้างานหรือระดับวิชาชีพควบคุมตลอดการทำงาน ต้องมีการจัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยงที่ต้องมีการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขให้พร้อม... “...ไม่ใช่เป็นแค่สถานประกอบการหรือโรงงานห้องแถว... ที่คนงานและชาวบ้านใกล้เคียงมีความเสี่ยงตายเหมือนทุกวันนี้” อาจารย์สนธิกล่าวทิ้งท้ายเหตุการณ์โรงงานพลุระเบิดในประเทศไทยดูเหมือนจะเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ข่าวคราวความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ตอกย้ำถึงปัญหาที่หยั่งรากฝังลึกในสังคมไทย อาจจะดูงงๆสับสนๆ ในเมื่อทุกๆคนต่างก็รู้ถึงความรุนแรงของภัยจากพลุ เหตุไฉนทำไมยังเกิดซ้ำ?เหตุการณ์โรงงานพลุระเบิดที่สุพรรณบุรีเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ, ผู้ประกอบการและประชาชน เพื่อให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เป็น...“บทเรียนสุดท้าย”มิติปัญหาที่นำมาสู่ความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่าคงหนีไม่พ้น “วัฏจักรกงเกวียนกำเกวียน”...โรงงานผิดกฎหมาย? การละเลยมาตรการความปลอดภัย? การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ?คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม