แม้การสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาคลี่คลายลง "แต่บาดแผลในใจของประชาชนในพื้นที่ยังคงอยู่" โดยเฉพาะเด็กเผชิญความรุนแรง เสียงระเบิด บรรยากาศการสูญเสียคนในครอบครัว และเพื่อนบ้านไปประสบการณ์เหล่านี้ “ไม่เพียงสร้างความกลัวระยะสั้น” แต่กำลังจะส่งผลลงรากลึกต่อการพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และจิตใจในระยะยาว หากไม่ได้รับการดูแลและเยียวยาอย่างเหมาะสม จะกลายเป็นเด็กถูกพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่มีแต่ความเครียดเรื้อรัง วิตกกังวล จนนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าวโดยไม่รู้ตัวในอนาคตการฟื้นฟูจิตใจหลังเหตุการณ์ความรุนแรงจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล บอกว่า สำหรับเด็กที่ต้องอยู่ในสถานการณ์สู้รบนั้นมักได้ยินเสียงระเบิด เสียงปืน หรือพ่อแม่ต้องพาออกจากบ้านแบบกะทันหันที่เด็กจะไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดอะไรมาก แม้อาจจะรับรู้ได้แค่ “เสียงดังจากปืนใหญ่” แต่ลึกๆก็สับสนไม่เข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดแล้วก็มักมาจบที่ความหวาดกลัวถูกฝังลึกโดยไม่รู้ตัว และเกิดภาพทรงจำจากพ่อแม่ต้องพามาอยู่รวมกันกับคนอื่นในศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งมีพื้นที่จำกัดส่งผลให้บรรยากาศตึงเครียดรอบตัว “เด็ก” อาจไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เพราะต้องเข้าใจธรรมชาติ “เด็กตื่นเช้ามามักอยากเล่น หรือทำกิจกรรม” ดังนั้นแม้สถานการณ์ไม่ปกติ การมีกิจกรรม พูดคุย และการดูแลใกล้ชิดในพื้นที่เฉพาะเด็กก็จะช่วยลดความกลัว และความเครียดลงได้ประการสำคัญ “ศูนย์พักพิงไม่ควรมีสิ่งกระตุ้นสร้างให้เกิดความกลัว หรือความเกลียดชัง” อย่างเช่นการเปิดข่าวภาพศพ และภาพความรุนแรง เพราะหากไม่มีผู้ใหญ่อธิบายดูแลในขณะรับชม “สิ่งนี้ไม่ใช่การเรียนรู้ในวัยของเด็ก” ผู้ใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลในเชิงความขัดแย้ง และไม่ลงลึกถึงต้นเหตุด้วยสาเหตุมาจาก “เด็กมักจดจำฝังใจรับรู้เรื่องราวประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ดีลึกซึ้ง” ดังนั้นในศูนย์พักพิงชั่วคราวแม้เด็กคนนั้นไม่ได้สูญเสียคนในครอบครัว หากแต่เห็นคนอื่นร้องไห้ หรือได้ยินคำพูดเต็มไปด้วยความโกรธ หรือเห็นภาพข่าวรุนแรง ก็จะรับรู้ในสิ่งนี้ผ่านปฏิสัมพันธ์ของคนรอบตัว ส่งผลต่อจิตใจไปจนโตได้เช่นกันปัญหาว่า “ศูนย์พักพิงมักไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า” แม้ว่าประเทศไทยจะเคยเผชิญกับวิกฤติสึนามิปี 2547 และน้ำท่วมปี 2554 สามารถเป็นบทเรียนในการจัดทำแผนการดูแลให้ครอบคลุมทุกช่วงวัยได้ “แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขนาดใหญ่” มักมองข้ามกลุ่มเปราะบางอย่างเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุอยู่เสมอทำให้เด็กตกอยู่ในบรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ “ความสูญเสีย” ซึมซับอารมณ์ประสบการณ์เชิงลบกลายเป็นภาพจำฝังใจ ยิ่งหากไม่ได้รับการดูแลเหมาะสมอาจกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์ และจิตใจระยะยาว ดังนั้นการจัดพื้นที่สำหรับเด็กในวิกฤติไม่ควรถูกมองเป็นเรื่องรอง หรือไม่จำเป็น แต่ต้องถูกบรรจุในแผนหลักด้วยเสมอเรื่องถัดมา “กลุ่มเด็กต้องเผชิญการสูญเสียคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิด” สำหรับการดูแลบริการด้านสุขภาพจิตของคนกลุ่มนี้ไม่ควรจำกัดเฉพาะการป้องกัน แต่ต้องครอบคลุมถึงการดูแล ฟื้นฟู และการเยียวยาจิตใจแบบใกล้ชิด โดยมีนักจิตวิทยา หรือนักจิตเวช เข้ามาประเมินดูแลเป็นการเฉพาะแต่ละราย ตัวต่อตัวเพราะในสถานการณ์วิกฤติ “เด็กที่ได้รับผลกระทบนั้นมักเปรียบเทียบกับผู้มีอาการเจ็บป่วย” ส่วนใหญ่อาจจะยังไม่แสดงอาการใดๆ แต่ก็มีภาวะความเครียดสูงในประสบการณ์สะเทือนใจที่ต้องการการดูแลอย่างลึกซึ้งเฉพาะทางเป็นกรณีพิเศษ เพราะหากเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้รับการดูแลเลยปัญหายิ่งจะรุนแรงมากในระยะยาว แต่เท่าที่สังเกต “แม้มีระบบดูแลสุขภาพจิตเด็กในภาวะวิกฤติ” ก็ดำเนินงานล่าช้าต่างจากการช่วยเหลือด้านอาหาร สิ่งของจำเป็น หรือการตั้งครัวสนามที่สามารถทำได้ทันที เหตุเพราะการดูแลบาดแผลทางใจเด็กไม่ถูกรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งในแผนฉุกเฉินไว้ล่วงหน้า จนกลายเป็นช่องโหว่สำคัญต่อการดูแลเด็กอยู่ในขณะนี้“ดังนั้นในพื้นที่แนวชายแดนต้องเตรียมแผนล่วงหน้าไว้ โดยอาศัย พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัยฯในการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อวางระบบดูแลเด็กในภาวะวิกฤติให้เหมาะสม ครอบคลุม และทั่วถึงในชุมชนที่ยังขาดศักยภาพการจัดการกันเองก็จะเป็นประโยชน์ต่อการดูแลเด็กในสถานการณ์เหล่านี้ได้ทันที” รศ.นพ.อดิศักดิ์ ว่าตอกย้ำว่า “ภาพความสูญเสียของเด็ก” ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตร เพื่อนบ้าน หรือบ้านเรือนที่เคยอาศัยกลับหายไปจากการสู้รบ ล้วนเป็นความสูญเสียส่งผลกระทบต่อจิตใจต่อเด็ก และครอบครัว ดังนั้นการรับมือไม่ใช่เพียงให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งเดียว แต่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเผชิญกับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสเรียนรู้และปรับตัว “เหมือนตุ๊กตาล้มลุก” เมื่อเด็กได้รับการดูแล มีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน “ไม่ปล่อยให้อยู่ลำพังกับความเศร้าโศก” ก็จะทำให้เด็กไม่จมปลักกับความสูญเสียอย่างเดียวแล้วก็ได้เรียนรู้การเปลี่ยนแปลง เข้าใจว่าความทุกข์สามารถฟื้นฟู และเยียวยาได้โดยผ่านการมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างเช่นการช่วยซ่อมแซมสิ่งของ ฟื้นฟูบ้านเรือน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดความเครียดเท่านั้น แต่เป็นการเรียนรู้การปรับตัว และสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กพร้อมรับมือกับวิกฤติในอนาคตได้อย่างเข้มแข็ง “หน่วยงานภาครัฐ” ก็ต้องเร่งลงมาช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ และเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในกระบวนการเหล่านี้เพราะกระบวนการนี้ “จะช่วยเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้” แม้ความเครียดในตัวเด็กจะยังคงอยู่แต่การเข้าไปร่วมมือกับเพื่อน ผู้ใหญ่ สร้างสิ่งแวดล้อมใหม่จะช่วยเยียวยาจิตใจให้เด็กเห็นพลังการฟื้นตัวประเด็นสำคัญหลังจากนี้คือ “ต้องผลักดันการเจรจาสันติภาพ และยุติความรุนแรง” เพื่อสร้างสังคมให้ปลอดภัยสำหรับเด็กที่ต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่มั่นคง แล้วแม้ว่าแนวหน้าจะยังคงมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่ก็ตาม จำเป็นต้องลดทอนวาทกรรมกระตุ้นความโกรธแค้น เช่น การเหยียดหยาม หรือการเรียกร้องให้เอาคืนด้วยคำพูดเอาคืนกระตุ้นความโกรธแค้นเป็นความทรงจำสามารถฝังลึกในใจเด็กกลายเป็นรากของวงจรความรุนแรงในอนาคต เพราะการเหยียดหยามกันในสังคมไม่ว่าจะคำพูด หรือพฤติกรรม ล้วนเป็นบาดแผลทางใจที่รุนแรงไม่แพ้ภาวะวิกฤติอื่นเมื่อเด็กรับรู้ซึมซับอาจนำไปสู่ความรู้สึกเกลียดชังต้องล้างแค้นสร้างวงจรต่อในอนาคตฉะนั้นทางออกที่ดีคือ “การสร้างสันติสุข” ควรเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีสื่อสาร และการยอมรับความแตกต่าง เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติคลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม