เส้นแบ่งชายแดนไทย-กัมพูชายาวกว่า 798 กิโลเมตร จากเขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ ถึงบ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด ไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งแดนบนแผนที่ หากแต่เป็นพื้นที่ทับซ้อนของประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษตลอดแนวชายแดนมีหลักเขตแดนทั้งหมด 73 หลัก แต่ไทยและกัมพูชายังเห็นพ้องต้องกันเพียง 45 หลัก อีกเกือบ 30 หลักยังคงมีข้อพิพาทและพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนความขัดแย้งเกิดจากการใช้อ้างอิงแผนที่คนละฉบับ ฝ่ายไทยใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 50000 ซึ่งอ้างอิงตามภูมิประเทศจริง ส่วนกัมพูชายึดถือแผนที่ 1 : 200000 ที่จัดทำในสมัยฝรั่งเศสยุคล่าอาณานิคมพร้อมอ้างคำพิพากษาศาลโลกปี 2505 ที่ให้สิทธิในปราสาทพระวิหารแต่ไม่ได้ตัดสินพื้นที่โดยรอบ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนถึง 4.6 ตารางกิโลเมตร จนนำไปสู่การปะทะกันในปี 2552 ถึง 2554 มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย รวมถึง...ในพื้นที่อื่นอย่างช่องโอบกหรือเขมรต่ำ ซึ่งเคยเป็นแนวรบสำคัญในอดีตในอดีตช่องโอบก อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เคยเป็นสมรภูมิรบดุเดือด ในช่วงที่เวียดนามครอบครองกัมพูชาตั้งแต่ปี 2522-2534 การสู้รบเหล่านี้ทิ้งบาดแผลลึกให้กับชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงกับระเบิดที่ยังคงฝังอยู่ใต้ดิน เป็นภัยเรื้อรังที่พรากชีวิตและความสุขของชาวบ้าน“ผมเข้าไปแค่ 3–4 ก้าว จะไปหาของป่า พอระเบิดดังปั้ง! มารู้สึกตัวอีกทีอยู่โรงพยาบาล ขาผมหายไปข้างหนึ่งแล้ว…” ลุงจ๋อย ศรีชา ชาวบ้านจากอำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้วคือผู้เสียหายจากกับระเบิด บอกกับทีมข่าว “SEE TRUE” ไทยรัฐทีวี 32แม้จะมีหน่วยเก็บกู้ระเบิดลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แต่ชาวบ้านในหลายชุมชนยังคงต้องเสี่ยงภัยทุกครั้งที่เข้าไปในพื้นที่ทำกินของตัวเองนี่คือ... “ชายแดนไทย–กัมพูชา” เส้นแบ่งที่ไม่เคยชัดเจนกับชีวิตจริงที่ต้องเผชิญ นอกจากปัญหากับระเบิด ความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดนยังทำให้ชีวิตชาวบ้านลำบากบางครั้งคนในหมู่บ้านเดียวกันกลับถูกทหารฝ่ายตรงข้ามไล่หรือปิดกั้นเส้นทาง...บางทีคนในหมู่บ้านเดียวกัน เดินออกหลังบ้านก็โดนทหารเขมรถือปืนมาไล่ เพราะเขาบอก “นี่ประเทศเขา”ชาวบ้านจากอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ สะท้อนความจริงที่เจอแม้รัฐจะพูดถึงความร่วมมือชายแดนและการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน แต่ความเป็นจริงในพื้นที่กลับเต็มไปด้วยรั้วลวดหนามและกำแพงกั้นทางสัญจร “เราต้องระวัง เพราะถนนหรือหมู่บ้านใหม่ที่สร้างโดยฝ่ายหนึ่งโดยไม่ขอความเห็นชอบอีกฝ่ายอาจถูกมองว่าเป็นการรุกล้ำดินแดน” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวแต่สิ่งที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านสองฝั่งที่ยังคงแนบแน่น เด็กไทยเรียนโรงเรียนฝั่งเขมร เด็กเขมรมารักษาโรงพยาบาลฝั่งไทย ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องสนใจเส้นแบ่งพรมแดนครูโรงเรียนชายแดนแห่งหนึ่งกล่าวอย่างเจ็บปวดว่า “ทุกวันเรากินข้าวร้านเดียวกัน หาหมอ โรงพยาบาลเดียวกัน…แต่พอมีปัญหา แค่ธงชาติไม่เหมือนกันก็กลายเป็นศัตรู”ที่ “ปราสาทตาเมือนธม” ซึ่งเคยเป็นสมรภูมิรบใหญ่ในปี 2554 ปัจจุบันมีทหารฝ่ายละ 7 นายคอยประจำการ แต่ยังเปิดให้ประชาชนทั้งสองประเทศเข้าเยี่ยมชม แม้จะมีกฎ “ห้ามถ่ายไลฟ์สด” หรือ “กิจกรรมยั่วยุ”...เพื่อป้องกันเหตุการณ์บานปลาย พลเอกญึก บุญชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มีบทบาทในการเจรจาสงบศึกในอดีต ยืนยันว่า “ปัญหาหลักคือแผนที่ที่ใช้ต่างกัน กัมพูชายึดแผนที่สนธิสัญญาฝรั่งเศส–ไทย ส่วนไทยก็มีแผนที่อีกแบบ…เรื่องนี้จบได้ที่ศาลโลก เพราะศาลต้องใช้แผนที่ของยูเอ็นตัดสิน เราก็ต้องยอมรับ”แม้ว่าจะมีกลไกจัดการร่วมผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ตั้งแต่ปี 2540 ที่สำรวจหลักเขตแดนด้วยเทคโนโลยี GPS และภาพถ่ายดาวเทียม แต่กระบวนการยังไม่เสร็จสมบูรณ์และ...ยังมีหลายหลักที่ตกลงกันไม่ได้ชาวบ้านชายแดนซึ่งเป็นเหยื่อของปัญหานี้ต้องการเพียงส่งเสียงให้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายเข้าใจและเคารพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ไม่ใช่แค่แบ่งแยกดินแดนบนแผนที่ ชายวัยกลางคนจากอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด กล่าวกับทีมข่าวว่า “เราไม่ได้อยากมีเรื่องกับใคร แค่อยากให้รู้ว่าเรามีตัวตน ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น ชีวิตเราคือคนแรกที่จะโดน ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ”“ชายแดนไทย–กัมพูชา” คือภาพสะท้อนของความซับซ้อนทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง และความเป็นมนุษย์ จากเขาพระวิหารถึงช่องโอบกและบ้านหาดเล็ก ที่ต้องการความเข้าใจจริงใจและความร่วมมือที่แท้จริงจากทั้งสองประเทศเพื่อให้คนชายแดนได้มีชีวิตที่มั่นคง ปลอดภัย และอยู่ร่วมกันอย่างสันติในที่สุด เส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาอาจถูกขีดไว้บนแผนที่อย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงกลับพร่าเลือน ซับซ้อน และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความเชื่อ วัฒนธรรม ความมั่นคง และผลประโยชน์ทับซ้อนที่โยงใยหลายมิติโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว ที่กลายเป็น “พื้นที่เปราะบาง” ทั้งในเชิงการเมือง เศรษฐกิจ และมนุษยธรรม ชายแดนคือพื้นที่ “รอยต่อ” ที่เปราะบาง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่ทรงพลังได้ หากหันมายอมรับความจริงที่คนอยู่ร่วมกันมานานก่อนที่เส้นเขตแดนจะถูกลากขึ้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม