ศบ.ทก.ยันไทยเปิดประตูด่านพรมแดนไทย-กัมพูชาให้คนข้ามไปมาได้ตลอดโดยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามีคนเข้าออกกว่า 2 แสนคน พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือผ่อนผันแรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตหรือที่ใบอนุญาตหมดอายุอยู่ต่อได้จนกว่าด่านชายแดนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ด้าน “เท้ง-โรม” ลุยสระแก้ว ดูจุดเสี่ยงตามแนวชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางธรรมชาติ ย้ำไทยไม่ได้ปิดประตูด่านถาวร แต่ควบคุมเฉพาะจุดเพื่อตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่กัมพูชาเป็นฝ่ายปิดประตูด่านเอง ขณะที่จเรตำรวจฯบินฝรั่งเศส ยื่นหนังสือถึงตำรวจสากลดึงร่วมวอร์รูมไทยร่วมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ตั้งเป้า 3 เดือนต้องลดลงครึ่งหนึ่ง พร้อมสกัดกลุ่มคนร้ายไม่ให้ใช้ไทยเป็นทางผ่านเด็ดขาดความคืบหน้าสถานการณ์ความตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องดินแดนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังไม่มีวี่แววจะคลี่คลายลง โดยเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 7 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โดย พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันที่ 4 ก.ค. มีมติให้อำนาจ ศบ.ทก.ดำเนินการแก้ไข ปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนให้คลี่คลายลง โดยให้มีอำนาจเต็มในเรื่องกำหนดมาตรการเพิ่มเติม หากสถานการณ์เลวร้ายลงหรือดีขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เน้นย้ำหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร นอกจากนี้ที่ประชุมยังให้ ศบ.ทก. ดำเนินการใช้มาตรการที่เข้มงวดแก้ไขปัญหากลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติอย่างต่อเนื่องตามภาระหน้าที่พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวอีกว่าสถานการณ์ชายแดน ณ ปัจจุบันมีการดำเนินการมาตรการผ่านแดนหรือผ่านจุดด่านเข้าออกของประชาชนสองฝ่ายที่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ คนท้องถิ่นสามารถเดินทางผ่านเข้าออกเพื่อมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ประจำวันได้ กลุ่มเปราะบางที่มีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านเข้าออก รวมไปถึงกลุ่มนักเรียนนักศึกษา การขนส่งเวชภัณฑ์ ผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยก็อนุญาตให้เดินทางผ่านเข้าออกได้ตามหลักมนุษยธรรม โดยตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.-7 ก.ค. กองกำลังบูรพามีบุคคลที่เข้ามาในราชอาณาจักร 212,766 คน และประชาชน เดินทางออกจากราชอาณาจักร 206,100 คน ส่วนกองกำลังสุรนารี มีผู้ที่เดินทางผ่านเข้าออก 2,454 คน พล.ร.ต.สุรสันต์ยังกล่าวถึงมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าแรงงานต่างด้าว โดยได้ประชุมหารือผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง มีกรมการจัดหางาน และกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบ คือ 1.กระทรวงมหาดไทย พิจารณาผ่อนผันคนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตหรือที่ใบอนุญาตนั้นหมดอายุแล้วระหว่างอยู่ในไทย ให้สามารถอยู่ต่อได้เป็นกรณีพิเศษ และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมใดๆ จนกว่าด่านชายแดนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้ ภายหลังที่ด่านเปิดเป็นปกติแล้วให้คนต่างด้าวเหล่านั้นเดินทางออกนอกราชอาณาจักรภายใน 14 วัน 2.กระทรวงแรงงานจะออกมาตรการให้คนต่างด้าวสามารถยื่นคำขอเข้าอนุญาตทำงาน พร้อมเอกสารหลักฐานการทำงานต่อนายทะเบียนอนุญาต สามารถทำงานได้ครั้งละ 90 วัน ต่อใบอนุญาตอย่างต่อเนื่องทุกๆ 90 วัน 3.คนต่างด้าวที่มีงานทำ อยู่แล้วสามารถเปลี่ยนนายจ้างและเพิ่มนายจ้างได้ 3 ราย ตลอดระยะเวลาในพื้นที่คนต่างด้าวนั้นได้รับอนุญาตทำงาน ทั้งนี้จะนำผลประชุมเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ก่อนนำเข้าที่ประชุม ครม.ต่อไป และให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 7 มิ.ย.2568ที่ จ.สระแก้ว วันเดียวกัน นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และนายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ ประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์และบัญชีม้า เดินทางมาติดตามสถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และไปดูจุดเสี่ยงตาม แนวชายแดน อาทิ พื้นที่ด้านหลังบิ๊กซี อ.อรัญประเทศ ซึ่งเคยเป็นช่องทางลักลอบของขบวนการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย พ.อ.เมธี คำเต็มผู้บังคับการชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 รายงานว่าขณะนี้ปิดช่องทางลักลอบตลอดแนวชายแดนระยะทาง 6.3 กิโลเมตร พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดครบทุกจุด และลดระดับสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ เพื่อตัดการสื่อสารของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติจากนั้นช่วงบ่าย คณะไปตรวจเยี่ยมจุดแนวชายแดนเพิ่มเติม เช่น จุด “VIP 2” หรือท่าตาทุย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เอกชน มีการขึงรั้วลวดหนาม 3 ชั้นเพื่อป้องกันการลักลอบ จุด “VIP 1” บ้านโสนน้อย พื้นที่ป่าไผ่ เคยเป็นช่องลักลอบ จุดตรวจร่วม 3 ฝ่ายและช่องทางธรรมชาติใกล้วัดวังมน ซึ่งเจ้าหน้าที่ใช้เรือลาดตระเวนนายรังสิมันต์กล่าวว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่เพียงการหลอกลวงทางการเงินเท่านั้น แต่ยังพ่วงปัญหาการค้ามนุษย์ และมีความเชื่อมโยงถึงผู้มีอำนาจในประเทศเพื่อนบ้าน จึงเสนอให้รัฐบาลยกระดับปัญหาดังกล่าวเป็นวาระความมั่นคงระดับชาติ และใช้ความร่วมมือระดับนานาชาติในการจัดการ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น กล้อง AI, โดรน และเซ็นเซอร์ตรวจจับสิ่งมีชีวิต เพื่อลดการใช้งบประมาณในโครงการสร้างกำแพงถาวร ซึ่งอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทในอนาคต พร้อมเน้นย้ำว่าการควบคุมชายแดนของไทยขณะนี้ ไม่ใช่การปิดด่านถาวร แต่เป็นการควบคุมเฉพาะจุดเพื่อตัดวงจรอาชญา กรรมข้ามชาติด้านนายณัฐพงษ์ระบุว่า ในการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการเปิดเผยหลักฐานภาพถ่ายจุดผ่านแดนที่ชัดเจนว่ามีบางจุดที่กัมพูชาเป็นฝ่ายปิดเอง ไม่ใช่ฝ่ายไทย พร้อมย้ำว่าพรมแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่ จ.สระแก้ว ไม่มีข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดน แต่ปัญหาหลักอยู่ที่การควบคุมขบวนการผิดกฎหมาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) และ ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.) และหัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ UNODC เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่องค์การตำรวจสากล (Interpol) ณ เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เพื่อบรรยายและแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์อาชญากรรม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสมาชิกขององค์การตำรวจสากล รวมทั้งได้ยื่นหนังสือและหารือกับนาย Cyril GOUT ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกิจการตำรวจ และนาย Abdulaziz OBAIDALLA ผู้อำนวยการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และการสนับสนุนส่วนภูมิภาค เพื่อนำเสนอข้อมูลและสถานการณ์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ มีฐานที่มั่นในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกัมพูชา ที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของไทยและนานาชาติ โดยรายได้จากอาชญากรรมเหล่านี้มีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 60 ของรายได้ประเทศกัมพูชาผลจากการหารือเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง โดยองค์การตำรวจสากลยืนยันที่จะร่วมมือกับทางการไทยอย่างเต็มศักยภาพ จะสนับสนุนทั้งเครื่องมือ ข้อมูลเชิงลึก การวิเคราะห์ และการวางแผนปฏิบัติการ เพื่อเปิดฉากกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญขององค์การตำรวจสากลมาประจำการที่ “ศูนย์บริหารเหตุการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ของประเทศไทย (War Room)” ที่มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน ก.ค.นี้ โดยมีไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนและสามารถปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และค้ามนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด และจะทำให้การติดตามจับกุมคนร้ายและการอายัดเงินที่ถูกหลอกลวง ทำได้อย่างรวดเร็วและทันต่อรูปแบบการกระทำความผิดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยรัฐบาลไทยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 เดือนนับจากนี้ ปัญหาอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ต้องลดลงกว่าร้อยละ 50 และที่สำคัญคือ ต้องไม่ให้กลุ่มคนร้ายใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเด็ดขาดอีกต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่