ดีเอสไอพร้อมพนักงานอัยการกำกับการสอบสวนร่วมสอบปากคำ 8 ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ตั้งแต่ผกก.ถึงชั้นประทวน หลังมีส่วนเกี่ยวข้องบังคับให้ “ลุงเปี๊ยก” รับสารภาพฆ่า “ป้าบัวผัน” นาน 6 ชั่วโมง ก่อนแจ้งข้อหา ม.157 และความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ยังเปิดโอกาสให้ยื่นเอกสารชี้แจงข้อกล่าวหาในวันที่ 27 พ.ค. คาดสรุปสำนวนได้ภายในเดือน มิ.ย.ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 9 พ.ค. นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนกรณี ลุงเปี๊ยก-นายปัญญา คงแสนคำ ถูกตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ใช้ถุงพลาสติกสีดำคลุมศีรษะลุงเปี๊ยก-นายปัญญาเพื่อบังคับให้รับสารภาพลงมือฆ่าป้าบัวผัน-น.ส.บัวผัน ตันสุ ที่ถูก 5 ทรชนแก๊งลูกตำรวจก่อเหตุ ฆาตกรรม แล้วนำศพทิ้งน้ำในสระข้างโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 เพื่อดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุดและคณะพนักงานอัยการ ร่วมกันสอบปากคำและเเจ้งข้อหาตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว 8 นาย ประกอบด้วย พ.ต.อ.พิเชษฐ์ ศรีจันทร์ตรา ผกก.สภ.อรัญประเทศ พ.ต.ท.พิชิต วัฒโน รอง ผกก.สส.สภ. อรัญประเทศ พ.ต.ท.นิติธร พิมพ์คำ สว.สส.สภ.อรัญประเทศ ร.ต.อ.พงศภัค พลแสน รองสว.สส.สภ.อรัญประเทศ ร.ต.อ.พชร บุญอินราทากูร รอง สว. สส.สภ.อรัญประเทศ ด.ต.ภิเศก พวงมาลีประดับ ผบ.หมู่ (สส.) สภ.อรัญประเทศ จ.ส.ต.ทวีศักดิ์ พูนสะสมทรัพย์ ผบ.หมู่ (สส.) สภ.อรัญประเทศ ส.ต.อ.ชัยศิริ สุรโฆษิต ผบ.หมู่ (สส.) สภ.อรัญประเทศหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการสอบปากคำในช่วงเช้า นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงาน การสอบสวน เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจทั้ง 8 นาย เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามนัดหมายเพื่อเข้าให้ปากคำ ใช้ห้องประชุมของดีเอสไอทั้ง 3 ห้องในการสอบปากคำและเเจ้งข้อหา เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อหาและแจ้งขอยื่นเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในวันที่ 27 พ.ค. ส่วนข้อหาที่คณะพนักงานสอบสวนแจ้งต่อผู้ต้องหา เป็นฐานความผิดตาม ป.อาญา ม.157 ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ประกอบด้วย ม.6 การกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมโหดร้าย และ ม.7 การอุ้มหายหรือการกระทำที่มีการปกปิดชะตากรรม การเข้าพบครั้งนี้เป็นขั้นตอนผู้ต้องหารับทราบข้อ เท็จจริงและข้อกล่าวหาในพฤติการณ์คดีตามที่พนักงาน สอบสวนแจ้งไว้ ผู้ต้องหาแต่ละรายมีพฤติการณ์แตกต่างกัน ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายหากผู้ต้องหามีพยานหลักฐานอื่นสามารถนำมามอบพนักงานสอบสวนได้แต่ผู้ต้องหาต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง เพื่อบันทึกคำให้การของเขานำเข้าสำนวนการสอบสวน หากไม่มาคณะพนักงานสอบสวนจะไม่รับข้อมูล เพราะหากขยายเวลาไปเรื่อยๆ จะเหมือนเป็นการประวิงเวลา ส่วนเรื่องการปล่อยตัวชั่วคราว พิจารณาว่ามันไม่มีเหตุจำเป็นเพราะผู้ต้องหาทุกคนมีตำแหน่งหน้าที่ไม่ได้หลบหนีไปไหน สอบปากคำเสร็จสิ้นสามารถเดินทางกลับได้ทันที คดีนี้หลังจากวันที่ 27 พ.ค. จะเข้าสู่ขั้นตอนที่คณะพนักงานสอบสวนพิจารณาว่าผู้ต้องหาแต่ละรายให้การชี้แจงมานั้นรับฟังได้มากน้อยเพียงใด หากรับฟังไม่ได้คณะพนักงานสอบสวนจะมีความเห็นสั่งฟ้อง ส่งสำนวนไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 คาดสรุปสำนวนได้ภายในเดือน มิ.ย.นายวัชรินทร์กล่าวด้วยว่า ที่มีข้อสงสัยว่าทำไมไม่แจ้งข้อหา ม.42 ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ต่อผู้บังคับบัญชาในระดับ ผบก.ภ.จ.สระแก้ว หรือ ผบช.ภ.2 เนื่องจากหลักเกณฑ์ของ ม.42 ผู้บังคับบัญชาจะถูกดำเนินคดีนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาทราบอยู่แล้วว่ามีการกระทำทรมานเกิดขึ้นหรือมีการอุ้มหายเกิดขึ้นแล้วไม่ระงับเหตุ หรือผู้บังคับบัญชาไม่ดำเนินคดีเมื่อรู้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น หลังพิจารณาร่วมกันในที่ประชุมแล้ว ไม่พบความเกี่ยวข้องกับผู้บังคับบัญชามีรายงานว่าคณะพนักงานสอบสวนพร้อมผู้เกี่ยวข้องในคดีร่วมกันสอบสวน 8 ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ใช้เวลานานประมาณ 6 ชั่วโมงก่อนเสร็จสิ้น ทั้งหมดเดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใดอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่