(แฟ้มภาพ)ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิพากษาจำคุก 15 ปี กับ 5 ตำรวจ บก.สส.บก.ตม.1 ส่วนพลเรือนตัวชี้เป้าโดน 10 ปี หลังร่วมกันอุ้ม 2 ชาวจีนจากบ้านพักย่านซอยประชาสงเคราะห์ 2 เขตดินแดง ไปรีดเป็นเงิน 10 ล้านบาท แลกกับการถูกปล่อยตัว เหตุเกิดเมื่อเดือน มี.ค.66ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ศาลมีคําพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ ผบ.หมู่ (งานสืบสวน) กก.สส.บก.ตม.1 พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ สว.กก.สส.บก.ตม. 1 ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ รอง สว. กก.สส.บก.ตม. 1 ร.ต.ท.ประวิต พลจังหรีด รอง สว. กก.สส.บก.ตม. 1 พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ สว.กก.สส. บก.ตม. 1 และนายสุรชัย พัฒนาชัยเจริญ อายุ 58 ปี รวม 6 คน เป็นจำเลย กรณีพวกจำเลยร่วมกันรีดเงิน 10 ล้านบาท จากนายฉี อายุ 62 ปี และ น.ส.นามี แซ่ลี อายุ 38 ปี ล่ามภาษาจีน หลังอุ้มทั้งคู่ออกจาก บ้านพักในซอยประชาสงเคราะห์ 2 แขวงดินแดง เขต ดินแดง กทม. ต่อมา น.ส.นามีเข้าแจ้งความกับตำรวจ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.66คดีนี้พนักงานอัยการฟ้องว่า จําเลยที่ 1-5 เป็น ตำรวจสังกัดกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจ คนเข้าเมือง 1 (กก.สส.บก.ตม.1) ควบคุมตัวผู้เสียหายชาวจีนทั้งสองขึ้นรถยนต์เป็นพาหนะ ไปที่ทำการบก.ตม. 1 ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แล้วไม่นำตัวผู้เสียหายทั้งสองเข้าที่ทำการ แต่กลับขับรถพาวนไป ตามสถานที่ต่างๆ และเจรจาต่อรองเรียกเงินจากนายฉี เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีกับผู้เสียหายทั้งสอง แซ่ลี ซึ่งเป็นคนต่างด้าวมีบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยโดยมิชอบ จำเลยที่ 6 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานแต่เป็น ผู้ร่วมวางแผนและนัดหมายให้ผู้เสียหายไปพบเพื่อให้จำเลยที่ 1-5 จับกุมและเรียกรับเงิน เหตุเกิดท้องที่ดินแดงและท้องที่อื่นต่อเนื่องกันศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนัก ฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 1-5 ได้รับข้อมูล จากจำเลยที่ 6 แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับ น.ส.นามี แซ่ลี บุคคลสัญชาติจีน มีบัตรประจำตัวประชาชนที่ออก ให้โดยมิชอบ จึงออกติดตามสืบหาจนพบนายฉีเป็นบุคคลต่างด้าวมีพฤติการณ์อันควรสงสัย โดยมี น.ส.นามีเป็นล่ามให้ เชิญตัวบุคคลทั้งสองขึ้นรถยนต์แล้ว เจรจาเรียกเงินจากนายฉี กระทั่งตกลงกันได้เป็นเงิน 10 ล้านบาท จากนั้นบุตรชายของนายฉีโอนเงินเข้าบัญชีที่พวกจำเลยแจ้งให้โอนเข้า จากนั้นจำเลยทั้งหมด ปล่อยตัวผู้เสียหายทั้งสองไป อันเป็นการกระทำความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือ ผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการ อย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบ หรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต มีจำเลยที่ 6 ร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าว ในลักษณะแบ่งหน้าที่กัน เป็นตัวการสมคบร่วมกระทำ ความผิดกับจำเลยที่ 1-5 แต่เมื่อจำเลยที่ 6 มิได้เป็น เจ้าพนักงานขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5 มีความผิดเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินเพื่อไม่กระทำการตาม หน้าที่ ตาม ป.อาญา ม.149 ประกอบ ม.83 ฐาน เป็นตัวการ ส่วนจำเลยที่ 6 ผิดตาม ป.อาญา ม.149 ประกอบ ม.86 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-5 คนละ 15 ปี และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 ฐานเป็นผู้สนับสนุน 10 ปี โดยจำเลยทั้งหมดไม่ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวทั้งหมดไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่