ศาลอาญาคดีทุจริตฯพิพากษา จำคุก 116 ปี อดีตนายก อบจ.ลำปาง คนดัง “สุนี สมมี” พร้อมพวกรวม 9 คน ทุจริตโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำเมื่อปี 49-50 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแฉพฤติกรรมจัดฉากตั้งบริษัทรับเหมาเข้ามายื่นซองประมูลรับงานของ อบจ. 29 โครงการ หักหัวคิว 40 เปอร์เซ็นต์ งาบเงินเข้ากระเป๋าตัวเองกว่า 100 ล้านบาท อีกราย ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอดีต ผอ.กองคลัง เทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง เมืองเชียงใหม่ อมเงินภาษี 7 ปี กว่า 5.5 ล้านบาท ส่งอัยการสูงสุดสั่งฟ้องต่อศาลที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามทุจริตภาค 5 จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. นายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 5 แถลงผลการดำเนินงานของ ป.ป.ช.ภาค 5 และ ป.ป.ช.ประจำ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประจำเดือน ก.ย.66 มีคดีทุจริตที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและทางวินัยและศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 มีคำพิพากษาลงโทษผู้ถูกกล่าวหารวม 12 คดีคดีสำคัญเป็นคดีทุจริตโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำของ อบจ.ลำปาง ปีงบประมาณ 2549 และ 2550 จำนวน 29 โครงการ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและทางวินัยผู้ถูกกล่าวหารวม 9 คน เมื่อวันที่ 26 เม.ย.64 ต่อมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องทั้ง 9 คนเป็นจำเลย กระทั่งเมื่อวันที่ 3 ส.ค.66 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 มีคำพิพากษาให้นางสุนี สมมี อดีตนายก อบจ.ลำปาง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งหมด 29 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุก 116 ปี แต่ให้คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ส่วนจำเลยที่เหลือมีทั้งอดีต ผอ.กองกิจการสภา อบจ.ลำปาง จำคุก 8 ปี 8 เดือน 80 วัน และ อบจ.ระยอง มีคำสั่งไล่ออกจากราชการขณะดำรงตำแหน่งปลัด อบจ.ระยอง และข้าราชการระดับปฏิบัติงานถูกพิพากษาจำคุกลดหลั่นกันไปนายสุชาติ เปิดเผยรายละเอียดในคดีว่า จำเลยร่วมกันจัดหาบุคคลที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายและรับจ้างทั่วไป ให้ไปจดทะเบียนพาณิชย์ที่สำนักปลัด อบจ.ลำปาง ให้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้างและขุดลอกลำน้ำ จากนั้นให้ไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาลำปาง และให้ลงลายมือชื่อในใบถอนเงิน โดยจำเลยจะเก็บเอกสารทะเบียนพาณิชย์ บัญชีเงินฝาก ใบถอนเงิน และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆไว้ นำไปใช้เสนอราคาโครงการขุดลอกลำน้ำ 29 โครงการ นอกจากนี้จำเลยยังร่วมกันปกปิดข่าวสอบราคาโครงการจ้างเหมาขุดลอกลำน้ำในทุกช่องทาง และเปิดซองเสนอราคาอันเป็นเท็จ โดยจัดทำเอกสารเสนอราคาโครงการละ 3 ราย เสมือนมีการแข่งขันยื่นเสนอราคา แต่ละโครงการ มีการลงนามย้อนหลังอันเป็นเท็จ และยังปลอมลายมือชื่อกรรมการเปิดซองสอบราคาบางราย เพื่อเป็นเอกสารในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาค 5 เผยต่อไปว่า หลังจากนั้นได้ให้ผู้รับเหมาที่ว่าจ้างจริงไปลงมือดำเนินการแต่ละโครงการ เมื่อถึงขั้นตอนการเบิกจ่ายค่าจ้างทั้ง 29 โครงการ กลุ่มจำเลยนำเช็คที่ อบจ.ลำปางออกให้ ไปขึ้นเงินธนาคารโดยว่าจ้างให้กลุ่มลูกจ้าง อบจ.และลูกจ้างเอกชนไปถอนเงินแทน แล้วกลุ่มจำเลยนำเงินสดโครงการละประมาณ 1.7-1.9 ล้านบาท มาแบ่งส่วนกันที่ห้องทำงานของนางสุนี สมมี นายก อบจ.ลำปาง (ในขณะนั้น) โดยแบ่งจ่ายให้ผู้รับเหมาที่ทำงานจริงร้อยละ 60 ของวงเงินตามสัญญาจ้าง ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 40 นำมาแบ่งกันในกลุ่มจำเลย คดีนี้มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท แต่คดียังไม่สิ้นสุด เป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและเชื่อว่าจำเลยจะใช้สิทธิ์การอุทธรณ์คดีตามกระบวนการทางกฎหมายนอกจากคดีนี้ยังมีอีกคดีที่น่าสนใจ เป็นคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีมติว่านางศิริพรรณ อินต๊ะ อดีต ผอ.กองคลัง เทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง อ.เมืองเชียงใหม่ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีเบียดบังเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินของเทศบาลตำบลหนองป่าครั่งไปเป็นของตนเองตั้งแต่ปี พ.ศ.2553-2560 จากการไต่สวนทราบว่า นางศิริพรรณ อินต๊ะ ขณะดำรงตำแหน่ง ผอ.กองคลัง เทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง ได้ไปติดต่อกับบริษัทเอกชน 3 แห่ง แจ้งให้ชำระภาษีเป็นเงินสดหรือเช็คผู้ถือ และได้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายไว้เป็นหลักฐานการชำระเงินของเทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง และผู้ถูกกล่าวหาได้ปลอมลายมือชื่อของหัวหน้าฝ่ายพัฒนารายได้ โดยมิได้นำส่งเงินดังกล่าวเป็นรายได้ของเทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง กลับอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่รับชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินจัดเก็บรายได้ ในฐานะผู้รับเงินลงในใบเสร็จรับเงิน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553-2560 รวมทั้งสิ้น 53 ครั้ง เป็นเงิน 5,526,207.85 บาทคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาล ต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 5 อยู่ระหว่างการพิจารณา ทั้งนี้การชี้มูลความผิดทางอาญาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด