“โจรออนไลน์” ล้วงคองูเห่า เย้ยตำรวจ บช.สอท. เปิดเพจปลอมตำรวจไซเบอร์ 2 เพจ ทำเป็นขบวนการมีคนรับแจ้งความร้องทุกข์และให้คำปรึกษาเหยื่อ อ้างเป็นนายตำรวจยศ “พ.ต.อ.” เชี่ยวชาญด้านไอที แถมมีทนายความบริการติดตามเอาทรัพย์สินคืน หลอกล่อเอาทั้งข้อมูลส่วนตัว และเรียกรับเงินค่าดำเนินการ หลังก่อเหตุสำเร็จตัดการติดต่อเผ่นหายเข้ากลีบเมฆทันที โฆษกตำรวจไซเบอร์วอนตรวจสอบเพจหน่วยราชการให้แน่ชัดว่าเป็นของจริง ก่อนติดต่อสอบถามข้อมูลหรือร้องทุกข์ พร้อมแจ้งวิธีป้องกันการเข้าสู่เพจหน่วยราชการปลอม 10 ข้อให้ประชาชนปฏิบัติมิจฉาชีพปลอมเพจชื่อตำรวจไซเบอร์หลอกลวง ประชาชนครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช. สอท.) เมื่อวันที่ 30 ก.ค. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. เผยว่า ได้รับรายงานจากระบบศูนย์บริหารการแจ้งความออนไลน์ และสายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441 พบผู้เสียหายหลายรายร้องเรียนว่า ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล และหลักฐานทางคดี อาจถูกนำไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหรือผิดกฎหมาย“ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายตรวจสอบพบและติดต่อไปยังเพจเฟซบุ๊กหน่วยงานในสังกัด บช.สอท.หรือตำรวจไซเบอร์ 2 เพจ ได้แก่ 1.เพจที่ใช้ชื่อว่า “ตำรวจไซเบอร์ 2” และ 2.เพจที่ใช้ชื่อว่า “กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5-CCID5” ที่มิจฉาชีพปลอมขึ้นมาและตั้งชื่อให้เหมือนกับเพจเฟซบุ๊กจริง ใช้การโฆษณาเพื่อเข้าถึงเหยื่อเป้าหมาย หลอกลวงให้ผู้เสียหายที่ไม่ทันสังเกตที่ติดต่อเข้ามา หลอกลวงสอบถามเอาข้อมูลต่างๆ เริ่มจากสอบถามว่า มีเรื่องใดให้ช่วยเหลือ ถูกหลอกลวงหรือถูกโกงเรื่องใด มูลค่าความเสียหายเท่าใด ไปจนถึงขอหลักฐานทางคดีที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักฐานการพูดคุยกับคนร้าย หลักฐานการโอนเงินไปยังบัญชีคนร้าย และแพลตฟอร์มที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น รวมไปถึงใช้ตราสัญลักษณ์ของ บช.สอท.” โฆษก บช.สอท.กล่าว พ.ต.อ.กฤษณะเผยต่อว่า จากการตรวจสอบพบว่าในเพจลักษณะดังกล่าวนำเนื้อหา รูปภาพและข้อความจากเพจจริงมาใช้ ต่อมามิจฉาชีพจะให้เพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อติดต่อกับทนายความปลอม ชื่อบัญชี “ทนายอนันต์ชัย” ไอดีไลน์ “anantchat41” อ้างว่าช่วยเหลือและติดตามหรือกู้คืนทรัพย์สินที่ผู้เสียหายสูญเสียไปกลับมาได้ จากนั้นให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์เพื่อแจ้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมยศ “พ.ต.อ.” อ้างว่าเป็นหัวหน้าทีมไอทีเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ไอดีไลน์ “cyber00it” แจ้งว่าหากอยากได้เงินคืนต้องโอนเงินค่าดำเนินการต่างๆและค่าทนายมาให้ก่อน ถึงได้รับความช่วยเหลือ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินแล้วจะถูกตัดการติดต่อ มิจฉาชีพอาจนำข้อมูลไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ไม่ว่านำข้อมูลไปแฮ็กบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ไปหลอกยืมเงิน หรือโอนเงินจากบัญชีธนาคาร หรือนำข้อมูลไปขายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือนำไปแอบอ้างทำเรื่องผิดกฎหมายต่างๆ“บช.สอท.เร่งรัดขับเคลื่อนป้องกันและปราบ ปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างหน่วยงานรัฐ หลอกลวงเอาทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนตัวของประชาชนไปแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชน การใช้งานหรือเข้าถึงบริการต่างๆบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะการติดต่อหน่วยงานรัฐ ควรตรวจสอบช่องทางเหล่านั้นให้ดีเสียก่อนว่าเป็นของหน่วยงานจริงหรือไม่ ระมัดระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางคดี มิจฉาชีพอาจใช้โอกาสหลอกเอาข้อมูลไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง รวมถึงไม่หลงเชื่อเพียงเพราะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ แอบอ้างสัญลักษณ์หน่วยงาน หรือประกาศโฆษณา หรือมีชื่อเพจเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ที่ตั้งชื่อคล้ายหน่วยงานนั้นๆ” โฆษก บช.สอท.กล่าวพ.ต.อ.กฤษณะกล่าวด้วยว่า ขอประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันการเข้าสู่เพจเฟซบุ๊กปลอมดังนี้ 1.ประชาชน ที่ได้รับความเสียหายในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แจ้งความออนไลน์ได้ที่ https://thaipoliceonline. com เท่านั้น และโทร.สอบถามหรือปรึกษาได้ที่สายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441 หรือ 08-1866-3000 และไม่มีช่องทางไลน์ในการติดต่อ มีเพียงแชตบอท @police1441 เอาไว้ปรึกษาคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี คอยให้บริการตอบคำถามตลอด 24 ชม. 2.บช.สอท.และหน่วยงานในสังกัด ไม่มีนโยบายให้ประชาชนติดต่อทนายความ หรือให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี เพื่อติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกไปกลับคืนได้ 3.เพจเฟซบุ๊ก บก.สอท.2 คือ “ตำรวจไซเบอร์ 2” มีผู้ติดตามกว่า 7 พันคน สร้างบัญชีเมื่อวันที่ 28 ม.ค.64 และเพจเฟซบุ๊ก บก.สอท.5 คือ “กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5-CCID5” มีผู้ติดตามกว่า 1 หมื่นคน สร้างบัญชีเมื่อวันที่ 6 พ.ย.63 หากท่านต้องการเข้าสู่เพจดังกล่าวขอให้ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน“4.เพจเฟซบุ๊กจริงต้องมีเครื่องหมายถูกสีฟ้ายืนยันตัวตน หากไม่มีเครื่องหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเพจปลอม 5.เพจเฟซบุ๊กจริง มักมีส่วนร่วมโพสต์เนื้อหา รูปภาพ หรือกิจกรรมต่างๆต่อเนื่อง รวมถึงมีจำนวนผู้ติดตามที่ไม่น้อยจนเกินไป 6.เพจเฟซบุ๊กปลอม หากตรวจสอบความโปร่งใสของเพจจะพบว่า สร้างขึ้นไม่นาน และอาจเปลี่ยนชื่อมาจากเพจอื่นที่น่าสงสัย หรือมีผู้ดูแลเพจอยู่ต่างประเทศ 7.ไม่กรอกหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลทางคดีผ่านสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊กโดยเด็ดขาด 8.การพิมพ์ชื่อหน่วยงานเพื่อค้นหาเว็บไซต์ของหน่วยงานใดๆไม่ปลอดภัยเสมอไป ควรเพิ่มความระมัดระวัง สังเกตชื่อเว็บไซต์หรือสังเกตรูปแบบมาตรฐานในการเข้าถึงข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต (URL) อย่างละเอียด และไม่หลงเชื่อเว็บไซต์ที่ยิงโฆษณาของมิจฉาชีพ 9.หากพบหรือไม่แน่ใจว่าเป็นเพจเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นจริงหรือไม่ ให้ติดต่อไปยังหน่วยงานโดยตรงผ่านหมายเลขคอลเซ็นเตอร์ของหน่วยงาน เพื่อสอบถามและแจ้งให้ตรวจสอบทันที และ 10.หากมีการให้โอนเงินไปยังหน่วยงานที่แอบอ้างก่อนได้รับบริการให้สันนิษฐานว่าเป็นมิจฉาชีพแน่นอน” พ.ต.อ.กฤษณะกล่าว