สคบ.บุกตรวจร้านดารุมะ ซูชิ บุฟเฟต์แซลมอนชื่อดัง 4 สาขา พบปิดเงียบ แฉ “เมธา” ผู้บริหารเผ่นหนีออกนอกประเทศ ตั้งแต่ 16 มิ.ย. ก่อน โพสต์ลอยแพลูกค้าที่ซื้อวอชเชอร์ ด้าน 2 เจ้าของร้าน ซื้อแฟรนไชส์โร่แจ้งตำรวจ ปคบ. เอาผิดฐานฉ้อโกง หลังจ่ายเงินกว่า 2 ล้าน ทำได้ 2 เดือนเจ๊ง อีกรายเพิ่งจ่ายไป 2.5 ล้าน ยังไม่ได้เปิด หวั่นติดร่างแหตกเป็น ผู้ต้องหาด้วย เผยเหยื่อคูปองทิพย์โผล่ร้องแล้วกว่า 400 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 27 ล้าน เข้าข่าย คดีพิเศษ ประสานดีเอสไอตามไล่ล่าเจ้าของบริษัทดำเนินคดี พร้อมทำหนังสือแจ้งธนาคารตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินกรณีกลุ่มลูกค้าร้านดารุมะ ซูชิ (DARUMA SUSHI) บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่ชูจุดขายปลาแซลมอนร้องตำรวจให้ดำเนินคดีนายเมธา ชลิงสุข กรรมการบริษัท ดารุมะ ซูชิ จำกัด ผู้บริหารร้านซูชิชื่อดังรายนี้ ที่มีอยู่ด้วยกันหลายสาขาภายในห้างสรรพสินค้าต่างๆ หลังเปิดจำหน่ายวอชเชอร์ (Voucher) หรือคูปองโปรโมชันล่วงหน้าในราคาถูกใบละ 199 บาท ทำให้คนสนใจเข้าไปซื้อเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายกลับ ปิดกิจการหนีลอยแพลูกค้า ขณะที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์เตรียม แจ้งความเอาผิดผู้บริหารร้านเช่นกัน หลังได้รับความ เดือดร้อนไม่ยอมส่งวัตถุดิบให้จนเกิดความเสียหายต่อมาเวลา 10.00 น. วันที่ 20 มิ.ย. พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พร้อมด้วยนายจิติภัทร์ บุญสม ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านโฆษณา นำเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านดารุมะ ซูชิ ภายในห้างสรรพสินค้าเดอะแจส รามอินทรา กทม. แต่กลับพบว่าหน้าร้านเขียนป้ายขออภัย ปิดบริการ พ.ต.อ.ประทีปเปิดเผยว่า นายธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ เลขาธิการ สคบ. สั่งให้ลงพื้นที่ทั้งหมด 4 จุด โดยจะ เร่งตรวจสอบผู้ที่เสียหายที่ปัจจุบันมีผู้ร้องเรียนมากถึง 400-500 ราย และเร็วๆนี้จะทำหนังสือแจ้งไปยังเจ้าของบริษัทมาชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดรองเลขาฯ สคบ.กล่าวว่า สำหรับร้านดารุมะ สาขาห้างสรรพสินค้าเดอะแจสแห่งนี้ เป็นทั้งออฟฟิศและร้านอาหาร พบว่านายเมธาติดค้างค่าเช่าร้านด้วย เบื้องต้นมีความผิดชัดเจน เพราะเป็นการกระทำผิดทางด้านสัญญาและโฆษณา และอาจเข้าข่ายการฉ้อโกงด้วย ตามกฎหมาย สคบ. จะต้องเชิญผู้เสียหาย และเจ้าของมาให้ข้อมูล และสอบปากคำทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อจะได้รู้ข้อเท็จจริง ตอนนี้ได้ฟังจากทางฝ่ายผู้ร้องแล้ว เหลือเพียงทางเจ้าของที่จะเชิญมาชี้แจง แต่มีการรายงานข้อมูลว่า เจ้าของร้านอาจหนีออกนอกประเทศไปแล้ว จากการสอบปากคำผู้ดูแลเว็บไซต์ ให้นายเมธา พบว่ามีผู้ซื้อวอชเชอร์ยังไม่ได้ใช้ 33,000 ราย และอี-วอชเชอร์ที่ยังไม่ได้ใช้เลย 125,000 กว่าราย รวมวงเงินเกือบ 30 ล้านบาท สคบ.ได้จัดทีมทำเรื่องนี้โดยเฉพาะพ.ต.อ.ประทีปกล่าวด้วยว่า ในส่วนมีความผิด อาญาประกอบเป็นการฉ้อโกง เช่น มีพฤติกรรมการติดค้างค่าเช่า มีการออกโปรโมชันในราคาผิดปกติและกึ่งบังคับเร่งโปรโมชันให้ซื้อหลายใบ สคบ.ได้หารือร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีเอสไอเพิ่งประกาศเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ความผิดบางประเภทหาก เข้าเงื่อนไขฐานความผิด ดีเอสไอมีอำนาจยึดอายัดทรัพย์ได้ แต่กระบวนการของ สคบ. คือการไกล่เกลี่ยและฟ้องร้องแทนผู้บริโภค ส่วนหากนายเมธาที่อาจไม่อยู่ในประเทศแล้ว ตอนนี้ออกหนังสือเรียกแล้วหากไม่มา และหลักฐานปรากฏชัดว่าเจตนาทำผิด สัญญาก็จะเสนอคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฟ้องทางแพ่ง และจะยึดอายัดทรัพย์ได้เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว ด้านนายจิติภัทร์กล่าวว่า จากการหารือกับดีเอสไอพบว่าเรื่องที่จะรับเป็นคดีพิเศษต้องมีผู้เสียหายมากกว่า 100 ราย และมูลค่าความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาท กรณีร้านดารุมะ ซูชิ เข้าข่ายทั้งหมด ล่าสุดวันที่ 20 มิ.ย. มีผู้บริโภคร้องเรียนมากว่า 400 รายแล้ว มูลค่าความเสียหายกว่า 27 ล้านบาท จาก การสอบข้อเท็จจริงกับบริษัทผู้จัดทำแอปพลิเคชัน Daruma Sushi พบว่าตั้งแต่เปิดขายอี-วอชเชอร์ มาเมื่อปีที่แล้วเกือบ 600,000 ใบ ใช้ไปแล้วประมาณ 400,000 ใบ เหลือที่ยังไม่ได้ใช้ 129,000 ใบ คิดเป็น จำนวนผู้เสียหายที่ยังไม่ได้ใช้ 33,000 ราย จากหลักฐาน ทั้งหมดเข้าข่ายคดีอาญาฐานฉ้อโกง กรณีนี้ถือว่าจะ เป็นประโยชน์กับการเร่งรัดดำเนินคดีอาญาได้เร็วกว่าการดำเนินคดีแพ่งเพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจ สอบสวนกลาง (บช.ก.) สายวันเดียวกัน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาเจ้าของ แฟรนไชส์ร้านดารุมะซูชิ 2 สาขา แจ้งความกับ ร.ต.อ. เตชสิทธิ์ เชาวลิต รอง สว. (สอบสวน) กก.1 บก.ปคบ. เพื่อดำเนินคดีกับผู้บริหารดารุมะซูชิในคดีฉ้อโกง หลังบริษัทต้นสังกัดไม่ส่งปลาแซลมอนและวัตถุดิบทำอาหารมาให้สาขาจนเกิดความเสียหาย นายเอกภพ กล่าวว่า เจ้าของร้านแฟรนไชส์ร้านซูชิที่เป็นผู้เสียหายรายแรก จ่ายเงินทำสัญญากว่า 2.5 ล้านบาท ตั้งแต่ 2 เดือนก่อน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เปิดสาขา ส่วนอีกรายจ่ายเงินแล้ว 2 ล้านบาท เปิดร้านได้ 2 เดือน ต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีวัตถุดิบส่งให้ ทำให้ลูกค้า มาต่อว่า จึงตัดสินใจพามาแจ้งความน.ส.นุ่น (นามสมมติ) เจ้าของร้านแฟรนไชส์ผู้เสียหาย กล่าวว่า เห็นหน้าร้านซูชิดังกล่าวติดประกาศ โฆษณาชักชวนให้ซื้อแฟรนไชส์ ด้วยความที่เป็นลูกค้า ประจำเลยสนใจทำร้านอาหาร ติดต่อทำสัญญาเปิดร้าน ในย่านสายไหม ร้านจะทำหน้าที่จัดการดูแลบริหาร ตนแค่รอรับผลกำไร มองว่าเป็นการลงทุนทำร้านอาหารทั่วไป ช่วงแรกไม่มีปัญหา กระทั่งเดือนที่ผ่านมาวัตถุดิบส่งช้า ขาดส่ง และไม่สามารถติดต่อได้ เจ้าของอธิบายผ่านไลน์กลุ่มเรื่องปลาแซลมอนไม่พอ ว่าผู้จัดหาต้นทางหาวัตถุดิบไม่ได้แล้วเงียบหายไป ก่อนจะติดต่อไม่ได้ ตอนนี้ประกอบธุรกิจไม่ได้ แม้จะยังอยากทำต่อ จากนี้ไม่รู้ว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาด้วย หรือไม่ เพราะ 1 วันก่อนเกิดเรื่องยังเปิดร้านปกติ ทั้งนี้ ร้านกำหนดเงื่อนไขให้ทำโปรโมชัน 199 บาทด้วย เพราะต้องรับคูปองมาขายให้ลูกค้า ร้านยืนยันทำได้ แม้ปลาแซลมอนมีจะราคาสูงก็ตาม“ก่อนตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์เห็นว่าเขาสามารถ ขยายสาขาได้ มีความน่าเชื่อถือ มีวิธีการคุยเหมือนเป็นเพื่อนสนิท ดูจริงใจ และก่อนหน้านี้ยังจัดโปรโมชันมาตลอด ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดปัญหา แรกๆมีคูปอง 250 บาท ก่อนลดลงเป็น 199 บาท อย่างที่ผ่านมา และหากซื้อวัตถุดิบจากร้านอื่นจะถือว่าผิดสัญญา” น.ส.นุ่นกล่าวและว่า ส่วนเรื่องรายได้นั้นจะต้องโอนเงินแต่ละวันให้เจ้าของ ก่อนจะโอนกลับมา 10% ในแต่ละเดือน แต่หากคิดจากยอดค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบแต่ละเดือนกลับไม่มีกำไรเลย เปิดร้านได้ 2 เดือน เดือนละประมาณหลักแสนบาท รวมๆยังได้ กลับมาไม่ถึงครึ่ง ตอนนี้ยังมาต้องปิดตัวลงอีกขณะที่ น.ส.ธิดารัตน์ แท่นวิทยานนท์ เจ้าของร้านดารุมะ ซูชิ สาขาวัชรพล กล่าวว่า ได้รับการชักชวนให้มาทำร้าน แต่ยังไม่มั่นใจ กระทั่งเห็นร้านมีสาขาทั้งหมด 20 แห่ง ทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือตกลงทำสัญญาซื้อแฟรนไชส์จ่ายเงินไป 2.5 ล้านบาท คาดว่าร้านของตนน่าจะเป็นสาขาที่ 26 มีกำหนดเปิดร้านเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทันได้เปิดดันมาเกิดเรื่องขึ้นก่อน ที่ผ่านมาเจ้าของอ้างว่า ไม่มีความรู้ด้านธุรกิจอาหารก็สามารถทำธุรกิจได้ แค่จ่ายเงินค่าสาขา การันตีรายได้ว่าจะได้เงินจากยอดขาย 10% พร้อมให้ไอแพดไว้ 1 เครื่อง มาดูยอด ลูกค้าและการใช้คูปอง ทั้งนี้ ยังหวังว่าร้านจะกลับมา รับผิดชอบ แต่ไม่ทราบว่าเจ้าของเดินทางออกนอกประเทศไปตามที่เป็นข่าวหรือไม่ช่วงเย็นวันเดียวกัน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ. และ พ.ต.อ.เชษฐ์พันธ์ กิติเจริญศักดิ์ ผกก.1 บก.ปคบ. ร่วมสอบปากคำผู้เสียหาย จากนั้น พล.ต.ท.จิรภพ เปิดเผยว่า หากมีผู้เสียหายรายอื่นเพิ่มเติมขอให้มาแจ้งความกับ บก.ปคบ. ตำรวจจะรวบรวมผู้เสียหายเพื่อเรียกมาสอบปากคำ คาดว่าสามารถนำเนื้อหามารวมมาเป็นสำนวนเดียวกันได้ ตำรวจพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับการกระทำดังกล่าว จะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่นั้นยังไม่ยืนยัน อย่างไร ก็ตาม ได้รับข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ว่าเจ้าของแฟรนไชส์เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ไม่ยืนยันว่าปลายทางเป็นนครดูไบ สหรัฐ อาหรับเอมิเรตส์ตามที่มีข่าวออกมาหรือไม่ เบื้องต้นพบผู้เสียหายที่มาแจ้งวันนี้เป็นแฟรนไชส์ 1 ราย ผู้บริโภค 19 คน รวมมูลค่าความเสียหาย 4 ล้านบาทต่อมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ให้สัมภาษณ์ภายหลังสอบปากคำผู้เสียหายอย่างละเอียดว่า คดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก คาดว่าถึงหลักหมื่นราย ขอให้ ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อเข้าแจ้งความที่ บก.ปคบ. หรือลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจใกล้เคียง และจะเร่งประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้รวมคดีมาไว้ที่ บก.ปคบ. สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์เดินทางออกนอกประเทศวันที่ 16 มิ.ย. ปลายทาง สหรัฐอเมริกา จากนั้นได้ประกาศปิดร้านวันที่ 17 มิ.ย. น่าเชื่อว่ามีเจตนาหลอกลวงประชาชน ขณะนี้อายัดเงินได้เพียงไม่กี่แสนบาท แต่ความเสียหายนั้นหลักร้อยล้านบาทพล.ต.ท.จิรภพกล่าวอีกว่า จากนี้จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาและบุคคลที่เกี่ยวข้อง หากยังไม่กลับประเทศไทยจะพิจารณาเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีบุคคลเกี่ยวข้องคือเจ้าของแฟรนไชส์เพียงคนเดียว หลังจากนี้จะตรวจสอบเส้นทางการเงิน การกระทำความผิดว่ามีใครเกี่ยวข้องหรือไม่ เบื้องต้นเข้าข่ายฐานความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และหากมีการโอนเงินไปยังบุคคลใดอาจเข้าข่ายฟอกเงินด้วย ขณะนี้แบ่งผู้เสียหายเป็น 3 ส่วนคือผู้เสียหายซื้อคูปองไปบริโภค, ผู้เสียหายซื้อคูปองไปขายต่อ และผู้เสียหายที่ซื้อแฟรนไชส์ ในส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องดูเจตนาว่ามีเจตนาหลอกลวงประชาชนด้วยหรือไม่ หากไม่มีเจตนาหลอกลวงประชาชนถือว่าไม่มีความผิด