ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา “กองทัพภาคที่ 2” รายงานว่าจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา 5 วันที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ “โดรน” เป็นยุทโธปกรณ์ในการเข้าโจมตีฝั่งไทยเป็นจำนวนหลายครั้ง กระทั่งมีการตรวจพบว่า “ผู้ที่บังคับโดรน” ไม่ใช่ “คนกัมพูชา”จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์...จนชัดเจนว่า โดรนที่กัมพูชาใช้กับไทย คล้ายกับมีการใช้ในสงครามยูเครน-รัสเซีย“โดรน” ที่กองทัพไทยตรวจยึดได้ในพื้นที่ปะทะ เช่น ช่องบก ช่องอานม้า ในช่วงที่ผ่านมา ถูกชำแหละโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิเคราะห์ชี้ชัดว่า ลักษณะโดรนที่ใช้เป็นแบบ FPV (First-Person View)โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ โครงสร้างเฟรมคาร์บอนไฟเบอร์... ระบบมอเตอร์ 4 ตัว และกล้อง FPV เชื่อมต่อแว่นควบคุมแบบเรียลไทม์ หัวรบติดตั้งลูกระเบิด ค. ขนาด 82 มม. หรือระเบิดขนาดเล็กอื่นๆด้วยวิธีการดัดแปลงอย่างเร่งด่วน ซึ่งมีต้นทุนต่ำ แต่มีผลทางยุทธวิธีสูงสิ่งที่น่าจับตาและเป็น “จุดไคลแม็กซ์” ของปฏิบัติการนี้คือการยืนยันว่า “ผู้ควบคุมโดรน” คือ ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติหรือไม่ เพราะถ้าใช่นี่จะไม่ใช่แค่การจัดหาอาวุธ แต่คือการว่าจ้างองค์ความรู้ทางเทคนิคจากสนามรบอื่นเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน หากเป็นเช่นนั้นนี่คือ...สัญญาณอันตราย...ที่ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของ “ประเทศมหาอำนาจ” บางประเทศ? หรือกลุ่มผู้ค้าอาวุธข้ามชาติ? ที่ต้องการ “ย้ายห้องทดลองสงคราม” มาสู่ชายแดนไทยหรือเปล่า?หากฮุน เซน ต้องการเพียงแค่โดรน แต่ไม่ต้องการให้ใครรู้แหล่งที่มาของอาวุธ เขาย่อมใช้ผู้ควบคุมชาวกัมพูชาฝึกหัด แต่นี่คือการใช้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อ “รับประกันผลลัพธ์ในการโจมตี” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปฏิบัติการนี้มีเดิมพันสูงมาก และจำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์อย่างแน่นอนคำถามสำคัญตามมา แล้ว...ใคร? คือผู้เอื้อเฟื้อ หรือมีเป้าหมายเบื้องหลังที่มากกว่าการรบหรือไม่? จากการวิเคราะห์รูปแบบโดรนที่คล้ายกับที่ใช้ในสมรภูมิยูเครน-รัสเซีย ทำให้มีการพุ่งเป้าไปที่สองแหล่งที่เป็นไปได้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงทางเทคนิคโดยตรงกับรูปแบบการโจมตี FPV แบบที่ใช้ในพื้นที่ปะทะ นั่นก็คือ...กลุ่มนักรบรับจ้าง เป็นไปได้ว่ากัมพูชาจ้างบริษัททหารเอกชนที่มีบุคลากรซึ่งเคยมีประสบการณ์ในสมรภูมิยุโรปตะวันออก โดยกลุ่มนี้จะทำหน้าที่จัดหาโดรนและผู้ควบคุมให้แก่กัมพูชา โดยมีประเทศมหาอำนาจบางประเทศ “อำนวยความสะดวก” หรือ “หลับตาข้างเดียว” ให้การค้าขายอาวุธนี้เกิดขึ้น?ประเด็นถัดมา...ประเทศที่ต้องการทดสอบประสิทธิภาพอาวุธ ในสงครามใหญ่ที่อาวุธถูกใช้ไปจำนวนมาก การ “ขาย” เทคโนโลยีสงครามที่ใช้แล้วให้กับประเทศขนาดเล็ก เป็นวิธีการหนึ่งในการ “ทดสอบประสิทธิภาพ” ในสมรภูมิใหม่และสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองในภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด ถ้าเป็นเรื่องจริงก็...ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “กองทัพไทย” กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ใหญ่กว่าแค่ทหารกัมพูชา นั่นคือ “เงา” ของผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการจัดส่ง “โดรนกามิกาเซ่” เหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร้อนระอุยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาก็เป็นได้เงื่อนสำคัญ...“โดรนกามิกาเซ่” ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง การติดตั้งและใช้ระบบควบคุมไฟเบอร์ออปติก เพื่อให้โดรนมีความเสถียรและต้านทานการรบกวนสัญญาณได้ ต้องอาศัยทักษะสูงมาก ซึ่งเป็นทักษะที่เพิ่งพัฒนาขึ้นในช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้เองความเป็นไปได้คือ...ต้องมีผู้ที่เคยผ่านการรบจริงหรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระที่เคยเกี่ยวข้องกับสงครามในยุโรปตะวันออกอยู่เบื้องหลังตอกย้ำ “กัมพูชา” ภายใต้การนำของ “ฮุน เซน” กำลังสร้างความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยการใช้ยุทธวิธีที่ทำให้กองทัพไทยต้องปรับแผนรับมืออย่างเร่งด่วนสิ่งที่ทำให้อดีตผู้นำเขมรผู้นี้มั่นใจใน “แผนการบุกสายฟ้าแลบ” จนกล้าเปิดฉากปะทะแบบ 5 วันติด คือ “โดรนติดระเบิด” หรือที่เรียกขานกันในสมรภูมิสงครามโลกยุคใหม่ว่า “โดรนกามิกาเซ่”...เพียงแค่นั้นหรือ ชวนให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงต้องทำงานอย่างหนักยิ่งขึ้นไปอีกความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงการปะทะของปืนใหญ่แบบเดิมๆอีกต่อไป แต่คือการเผชิญหน้ากับ “สงครามโดรนยุคใหม่” ที่ถูกนำมาใช้ในยุทธวิธีอย่างเชี่ยวชาญนักวิชาการด้านความมั่นคงชายแดนระหว่างประเทศ มองว่า ความกังวลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความขัดแย้งนี้คือ “การแทรกแซงจากต่างชาติ” ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อันตรายที่สุดต่ออธิปไตยของชาติการมีอยู่ของ “นักรบเงา” การตรวจจับ “คำสั่งเสียงภาษาอังกฤษ” และรูปแบบการรบที่คล้ายสมรภูมิยูเครน ชี้ชัดว่ามีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินกลยุทธ์ให้กัมพูชาประเด็นสำคัญมีว่า...หากพิสูจน์ได้ว่าประเทศมหาอำนาจใดอยู่เบื้องหลังการจัดหาเทคนิคและบุคลากร ก็จะทำให้ไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการทูตและความมั่นคงระหว่างประเทศที่ใหญ่กว่าแค่กัมพูชาการที่กัมพูชานำยุทธวิธีสงครามโลกยุคใหม่มาใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้น่ากังวลว่าภูมิภาคนี้จะถูกใช้เป็นสนามทดลองยุทธวิธีสำหรับมหาอำนาจที่ต้องการทดสอบประสิทธิภาพอาวุธในสนามใหม่การใช้โดรน FPV อาจเป็นสัญญาณแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่ “สงครามตัวแทนราคาถูก” ในภูมิภาค โดยมีประเทศขนาดเล็กเป็นผู้ลงมือ และมีผลประโยชน์ของมหาอำนาจหนุนหลัง ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในวงกว้าง ไม่แน่ว่า...กัมพูชาอาจใช้ความได้เปรียบทางยุทธวิธีนี้เป็นเครื่องมือต่อรองในเรื่องอื่นๆในอนาคตเพื่อคลี่คลายความน่ากังวลเบื้องหน้าเบื้องหลังในประเด็นเหล่านี้แบบเร่งด่วน “กองทัพไทย”...ต้องเร่งปรับกระบวนทัศน์และต้องระบุตัวตนจริงของ “นักรบเงา” ให้ได้โดยเร็วที่สุดถ้ามีจริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม