สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นอกจากผลกระทบเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องของทรัพยากรต่างๆจะตามมา โดยเฉพาะน้ำมัน เนื่องจากรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ราคาน้ำมัน ราคาทองพุ่งสูงขึ้น ที่สุดการคมนาคมขนส่ง ค่าครองชีพ ก็จะสูงขึ้นตามมาแม้แต่สินค้าเกษตรยังได้รับผลกระทบ เนื่องจาก รัสเซียและยูเครนมีปริมาณการส่งออกข้าวสาลีรวมกันประมาณ 29% ของปริมาณการส่งออกทั่วโลก ส่วนข้าวโพดปริมาณการส่งออกรวมกัน 19% ของตลาดโลก จะส่งผลให้ราคาต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์สำคัญที่แพงขึ้นอยู่แล้วในปี 2564 มีราคาเพิ่มขึ้นอีก 40% นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรม ราชูปถัมภ์ เผยถึงสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่ได้พัฒนาความตึงเครียดไปจนถึงขีดสุดว่า กำลังมีผลอย่างยิ่งต่อราคาธัญพืช ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของการผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ทั้งข้าวสาลี ข้าวโพด อาจไม่สามารถเก็บเกี่ยวหรือทำการส่งออกได้ตามปกติ รวมถึงภัยแล้งในบราซิล ภาวะอากาศหนาวเย็นของสหรัฐฯ กระทบปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และยังส่งผลกระทบต่อการขนส่ง ขณะนี้ราคาข้าวสาลีนำเข้าซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการเลี้ยงไก่ ราคาปรับสูงขึ้นจาก กก.ละ 8–9 บาท เมื่อปี 2564 เพิ่มเป็น กก.ละ 12 บาท ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยมีราคาปรับไปถึง กก.ละ 11.10 บาท ส่วนราคากากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้ามีราคาเพิ่มขึ้นจาก กก.ละ 19 บาท เป็น กก.ละ 20.50 บาท และกำลังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อวัตถุดิบชนิดอื่นที่มีแนวโน้มราคาสูงตามไปด้วย ปัจจุบันวัตถุดิบอาหารสัตว์ส่วนใหญ่ราคาขึ้นมาสูงกว่า 50–60% แล้ว ยังไม่นับราคา น้ำมันดิบในตลาดโลกที่จะสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งปรับเพิ่มด้วย“ต้นทุนการผลิตเนื้อไก่สูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ราคาเนื้อไก่และไข่ไก่กลับถูกตรึงอยู่ ไม่สะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น หากวัตถุดิบทุกชนิดมีราคาสูงเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์ไม่มีทางอยู่รอดได้ ทางที่ดี ถ้ารัฐไม่สามารถควบคุมราคาวัตถุดิบจากผลกระทบของสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนได้ ก็ควรปล่อยให้ราคาไก่และไข่ไก่เป็นไปตามกลไกที่ควรจะเป็น เช่นเดียวกับราคาหมูที่ลดลงเพราะกลไกตลาดทำงานอย่างเสรี โดยการยุติการตรึงราคาไก่และไข่ไก่ จะช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรมีกำลังใจในการเลี้ยงสัตว์ต่อไป” นางฉวีวรรณ กล่าว.