รพ.ราชวิถีเริ่มแผน “เจอ-แจก-จบ” แล้ว ให้บริการรักษาผู้ป่วยโควิดแบบ OPD วันแรก 1 มี.ค. ย้ำส่วนใหญ่ผู้ป่วยเป็นกลุ่มสีเขียวไม่แสดงอาการ เน้นจ่ายยาตามอาการ รมช. สาธารณสุขแนะการรักษาคนไข้โควิดแบบผู้ป่วยนอกต้องสื่อสารให้ชัด เพื่อสร้างความมั่นใจในบริการ เผยศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. ที่มีกว่า 60 แห่ง รองรับผู้ป่วยได้วันละหมื่นราย ผู้ติดเชื้อโอมิครอน 95% อาการน้อยแปรเป็นเหลือง-แดงไม่ถึง 1% ส่วนเด็กติดเชื้อโควิด 4 กระทรวงประชุมร่วมกันไฟเขียวให้เข้าสอบได้โดยจัดสนามสอบพิเศษและต้องป้องกันตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข รพ.หนองไผ่ เพชรบูรณ์ แก้ไขปัญหาขยะติดเชื้อล้นแล้วเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับการรักษาผู้ป่วยในระบบ OPD หรือการรักษาแบบผู้ป่วยนอกสำหรับคนไข้โรคโควิด-19 ตาม รพ.ต่างๆ ที่เป็นหนึ่งในแผนการปลดโรคโควิด-19 ออกจากการเป็นโรคระบาดมาเป็นโรคประจำถิ่นดีเดย์รักษาโควิดแบบ OPDวันที่ 1 มี.ค. นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผอ.รพ.ราชวิถี เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายเพิ่มช่องทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิดแบบ OPD เป็นผู้ป่วยนอกด้วยความสมัครใจ เริ่มวันที่ 1 มี.ค.เป็นวันแรก เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่า มีผู้ป่วยมารับบริการที่ ARI Clinic ของ รพ.ราชวิถี หรือระบบดูแลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 200-300 คน ทำให้ระบบการทำงานต้องแบ่งเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่ง ดูแลผู้ป่วยในคลินิก และติดตามผู้ป่วยในระบบ Home Isolation หรือ HI อาจทำให้ผู้ป่วยต้องรอการติดต่อนาน แต่การคัดกรองแบบระบบ OPD จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับบริการเร็วขึ้น เป็นการแยกคัดกรองในกลุ่มสีเขียว บางคนเป็นสีเขียวเข้มไม่มีอาการอะไร บางคนสีเขียวมีอาการเล็กน้อย หากคุยกันเข้าใจก็เข้าระบบ HI ได้ทันที หรือบางคนที่มาแสดงผล ATK ตรง จะได้นำเข้าระบบเลย หรือถ้าต้องการพบแพทย์ทำได้แต่ต้องรอคิวสถานการณ์โควิดปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวที่ไม่มีอาการ การจ่ายยาจะจ่ายตามความเหมาะสมกับผู้ป่วย เพราะไม่ใช่ทุกรายต้องได้รับยา วางหลักเกณฑ์รักษา 4 กลุ่มผอ.รพ.ราชวิถีกล่าวอีกว่า การรักษาผู้ป่วยโควิดแบบ OPD ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขวางไว้ มีดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยไม่มีอาการ พบกว่า 90% อยากให้รักษาที่บ้านหรือแบบผู้ป่วยนอก อาจมีอาการคันคอจะไม่มีการให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เนื่องจากส่วนมากหายเองได้ไม่ต้องเสี่ยงจากผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตาสีฟ้า เสี่ยงดื้อยา ไม่แนะนำใช้ในหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะพบว่ามีผลต่อตัวอ่อนในสัตว์ทดลอง ผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้อาจจะพิจารณาให้ฟ้าทะลายโจรตามดุลพินิจแพทย์ แต่ไม่ให้ในเด็ก คนท้อง คนป่วยโรคตับ กลุ่มที่ 2 กรณีมีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยง ไม่มีโรคร่วม แพทย์พิจารณาว่าจะให้ยาฟาวิพิราเวียร์หรือไม่ หากให้ต้องหยุดกินฟ้าทะลายโจร แต่หากตรวจพบเชื้อมีอาการเกิน 5 วัน การให้ยาต้านอาจจะไม่มีประโยชน์ กลุ่มที่ 3 กรณีผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุ 65 ปีขึ้นไป มีโรคร่วมแพทย์พิจารณาแอดมิตใน รพ. ส่วนยาที่ใช้จะมีหลายตัว กลุ่มที่ 4 อาการรุนแรงอยู่ใน รพ.อยู่แล้ว แพทย์จะพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม ตลอดการรักษาแบบ OPD ยังคงอยู่ที่บ้านกักตัว 7 วันเป็นอย่างน้อย ตรวจ ATK ในวันที่ 5-6 หากไม่เจอใช้ชีวิตตามปกติ แต่งดการรวมตัวกันจำนวนมาก ตรวจเยี่ยม “เจอ-แจก-จบ”ที่ รพ.ราชวิถี บ่ายวันเดียวกัน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในระบบผู้ป่วยนอก หรือ OPD ว่า ได้มอบนโยบาย รพ.เพิ่มทางเลือกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียวอาการน้อยหรือไม่มีอาการเป็นผู้ป่วยนอก ตามแผน “เจอ-แจก-จบ” ที่เริ่มเมื่อวันที่ 1 มี.ค.“เจอ” คือการตรวจเชื้อพบผลบวก “แจก” คือการแจกความรู้สร้างความเข้าใจแนะนำให้เข้าถึงระบบ และ “จบ” คือผู้ป่วยได้เข้าสู่ระบบบริการครบวงจร หากผู้ป่วยตรวจ ATK ด้วยตนเองพบผลบวกแนะนำให้โทร.สายด่วน สปสช.1330 เพื่อให้แพทย์ประเมินคัดกรองความเสี่ยง ถ้าเสี่ยงน้อยจะประสานการรักษาผ่าน OPD หรือ HI/CI ตามความสมัครใจ หากผู้ป่วยต้องการเดินทางมารักษาในระบบ OPD ที่คลินิกทางเดินหายใจ หรือ ARI รพ.ต้องป้องกันตนเองสูงสุด ทั้งนี้ 95% ของผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีอาการน้อยถึงไม่มีอาการอยู่ในกลุ่มสีเขียว โอกาสที่อาการแปรผัน กลายเป็นผู้ป่วยสีเหลือง สีแดง มีน้อยไม่ถึง 1% ย้ำว่า ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรับบริการรักษาฟรีกทม.รับผู้ป่วยได้วันละหมื่นด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ได้ประสาน รพ.สังกัดกรมการแพทย์ กทม.โรงเรียนแพทย์ รองรับการดูแลผู้ป่วยโควิดในระบบ OPD โดยเฉพาะ กทม.ที่มีศูนย์บริการสาธารณสุข 60 กว่าแห่งที่มีคลินิกทางเดินหายใจสามารถรองรับผู้ป่วยได้วันละ 1 หมื่นราย ย้ำ OPD โควิดเป็นบริการเสริมที่เป็นทางเลือก ไม่ใช่ทดแทน HI รองรับผู้ป่วยไม่มีอาการหรืออาการน้อย ไม่มีภาวะเสี่ยง ไม่มีประกัน แต่ให้เป็นความสมัครใจ เพื่อลดภาระเจ้าหน้าที่หน้างานเน้นจ่ายยาสมเหตุสมผลขณะที่ นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผอ.รพ.ราชวิถี ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า มีผู้ป่วยเดินทางมารักษาที่คลินิกทางเดินหายใจเฉลี่ยวันละ 150-250 คน ในจำนวนนี้เมื่อคัดกรองความเสี่ยงพบเป็นโควิด-19 ประมาณ 60-70% ขณะนี้มีผู้ป่วยอยู่ในระบบ HI ของ รพ.ราชวิถี 2,021 คน การจ่ายยาเน้นจ่ายอย่างสมเหตุสมผล เหมาะกับผู้ป่วย สูตรยาที่จะแจกให้กับผู้ติดเชื้อโควิด แบ่งไปตามกลุ่มอาการ ได้แก่ 1.สูตรยารักษาตามอาการ 2.สูตรยารักษาการติดเชื้อที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ จะจ่ายยาโอเซลทามิเวียร์ รวมถึงยาแก้แพ้ 3.สูตรยา ที่มีอาการเจ็บคอจากเชื้อแบคทีเรีย และจ่ายยาฆ่าเชื้อ 4.สูตรยากลุ่มผู้ติดเชื้อที่มีอาการแพ้อะม็อกซีซิลลิน 5.สูตรยาที่มีการผสมฟ้าทะลายโจร 6.สูตรยาที่มีการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับคนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 90 กิโลกรัม 7.สูตรยาที่มีการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ในผู้ติดเชื้อน้ำหนัก 90 กิโลกรัมขึ้นไป ย้ำต้องสื่อสารให้คนไข้เข้าใจขณะที่นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการสื่อสารกับผู้ป่วยในการรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แบบผู้ป่วยนอกหรือ OPD ว่า ต้องให้คนเข้าใจถึงลักษณะอาการทั่วไปของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนว่า สำหรับคนที่มีเกณฑ์ได้ฉีดวัคซีนป้องกันอย่างน้อย 3 เข็ม ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง 608 อายุไม่มาก ไม่มีโรคประจำตัวขอให้มั่นใจว่าถ้าเป็นเชื้อโอมิครอนจะไม่เป็นปัญหา ต้องอธิบายให้ชัดถ้าเขามีเกณฑ์ตามนี้ อาการอาจจะมีไข้อยู่บ้าง ดังนั้นถ้าเป็นผู้ป่วย OPD จะไม่เป็นอันตราย หมอต้องให้คำยืนยันให้ชัด ต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอว่าถ้าเป็นโอมิครอนแล้วอยู่ในเกณฑ์แบบนี้ เป็นการไปพบหมอและได้คำแนะนำกลับไปดูอาการตัวเอง พร้อมที่จะให้เขากลับมาเมื่อมีอาการรุนแรงให้มีทางเลือกเพื่อให้เคยชินเมื่อถามว่า กรณีผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้าระบบ HI ได้รับอุปกรณ์และอาหาร คนจะเกิดทางเลือกหรือไม่ เนื่องจาก OPD จะไม่ได้รับในส่วนนี้นายสาธิต กล่าวว่า การมีทางเลือกเยอะๆให้กับผู้ติดเชื้อจะทำให้เขาเชื่อมั่นและเคยชิน เมื่อถามว่าได้หารือเกี่ยวกับการป้องกันความซ้ำซ้อนของการให้บริการอย่างไร นายสาธิตกล่าวว่า ต้องมีข้อมูลให้เขามั่นใจทุกช่องทางที่เขาเลือก โดยให้เลือกใช้ทรัพยากรจากช่องทางใดช่องทางหนึ่งด้วยความสมัครใจ ต้องให้หมอให้คำแนะนำ แต่สุดท้ายหากหมอให้คำแนะนำแล้วแต่ยังไม่มั่นใจต้องเลือกใช้ในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นตอนนี้ขอให้หน่วยงานทุกหน่วยงานเปิดช่องให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการให้บริการ เพื่อนำไปสู่การเข้าใจมากขึ้นในอนาคต4 กระทรวงประชุมให้เด็กติดเชื้อได้สอบส่วนที่มีเสียงเรียกร้องให้เด็กนักเรียน ม.6 ที่อาจติดเชื้อโควิด-19 หรือกลุ่มเสี่ยงสูงที่ต้องกักตัว เข้าสอบ GAT/PAT และวิชาสามัญ เป็นการนำคะแนนสอบไปเพื่อเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยนั้น ที่กระทรวงศึกษาธิการ วันเดียวกันมีการหารือเรื่องนี้ร่วมกัน 4 ฝ่าย มี น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข นายชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ประธานคณะกรรมการจัดสอบคัดเลือก ของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย นายศักดาวุธ ศักดิเศรษฐ์ ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ไฟเขียวสอบในสนามสอบพิเศษนายสุภัทรเผยว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าการสอบ GAT/PAT จะมีขึ้นวันที่ 12-15 มี.ค. นักเรียนเข้าสอบ 183,228 คน การสอบวิชาสามัญจะสอบวันที่ 19-20 มี.ค. มีนักเรียนเข้าสอบ 155,282 คน กรณีที่มีนักเรียนติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงสูง ให้สอบในสนามสอบพิเศษที่กำหนดเท่านั้น ต้องแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงสนามสอบที่จัดเตรียมในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ กทม. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ภาคใต้ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคเหนือ ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีและสนามสอบพิเศษ จ.จันทบุรี ซึ่งร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา นอกจากนี้ยังเห็นร่วมกันที่จะขอให้ ผวจ.ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวกการจัดสถานที่สอบเพิ่มเติม เช่น จัดสอบในศูนย์พักคอย หรือ CI หรือฮอสพิเทล ยกระดับมาตรการส่วนบุคคลขั้นสูงสุดเพื่อลดการติดเชื้อ เช่น การเดินทางมายังสนามสอบ ด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถยนต์ที่จัดให้เป็นการเฉพาะจากหน่วยบริการสาธารณสุข หรือจากสนามสอบจัดให้ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ประสานมูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี ในการจัด TAXI ฉุกเฉิน ให้บริการรับ-ส่งผู้ติดเชื้อก.สาธารณสุขให้คำแนะนำด้าน นพ.สราวุฒิกล่าวว่า กระทรวงให้คำแนะนำในการจัดสถานที่สอบสำหรับเด็กติดเชื้อ ได้แก่ การจัดพื้นที่แยกสำหรับจัดการสอบเป็นสัดส่วนแยกกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง กลุ่มผู้ติดเชื้อ เน้นการระบายอากาศที่ดี จัดที่นั่งสอบห่างกันไม่น้อยกว่า 2 เมตร ผู้เข้าสอบ ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือก่อนและหลังการเข้าสอบ งดการพูดคุย เว้นระยะห่าง การเดินทางไปสนามสอบควรใช้รถส่วนตัว กรณีไม่มีรถส่วนตัวให้ประสานหน่วยสถานที่สอบ หน่วยบริการสาธารณสุข ด้านผู้คุมสอบต้องใส่หน้ากากอนามัย ใช้เวลาในการคุมสอบในห้องสอบให้น้อยที่สุด รวมถึงการวางแผนจัดการสอบให้เหมาะสมยันให้สิทธิ์ทุกคนสอบเต็มที่ขณะที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงได้ทำงานร่วมกับ ทปอ. ที่รับผิดชอบการสอบคัดเลือกระบบ TCAS ขอยืนยันว่า จะให้สิทธิสำหรับทุกคนที่ประสงค์จะเข้าสอบเพื่อให้ได้เข้าสอบอย่างที่ตั้งใจ ขณะนี้ได้มีการทำงานร่วมกันใน 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้นักเรียนที่ติดเชื้อ หรืออยู่ระหว่างการรักษา ตามมาตรการที่ ศบค.กำหนด ติดเชื้ออีก 20,420 ราย ตาย 43ช่วงเที่ยง ศบค.รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่ 20,420 ราย เสียชีวิต 43 ราย เป็นชาย 25 ราย หญิง 18 ราย อายุ 60 ปีขึ้นไป 31 ราย มีโรคเรื้อรัง 9 ราย ไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง 2 ราย เป็นเด็กชาย 1 ปี 1 ราย มีโรคหัวใจแต่กำเนิด ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,912,347 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 22,976 ราย สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดได้แก่ กทม.2,752 ราย นนทบุรี 1,292 ราย ชลบุรี 1,197 ราย สมุทรปราการ 1,060 ราย นครศรี ธรรมราช 719 ราย ภูเก็ต 678 ราย ระยอง 593 ราย นครปฐม 592 ราย พระนครศรีอยุธยา 554 ราย นครราชสีมา 538 รายฉีดวัคซีนเด็ก 5-11 ปีรอบสองที่ศูนย์ฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ฝาส้มให้กับเด็กอายุ 5-11 ปี ที่ศึกษานอกระบบโรงเรียนและเป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนจากที่ไหนมาก่อน เป็นรอบที่ 2 โดยเป็นการฉีดแบบสมัครใจที่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ต้องลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนผ่านระบบเครือข่ายมือถือทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค ทรู และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ไม่รับวอล์กอิน ชี้วัคซีนมีผลต่ำในเด็ก 5-11 ปีด้านสถานการณ์ในต่างประเทศ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เผยข้อมูลจากงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ศึกษาในเด็กอายุระหว่าง 12-17 ปีที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนจำนวน 852,384 คน และกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนจำนวน 365,502 คน ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.64-30 ม.ค.65 พบว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ มีประสิทธิ ภาพป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงในเด็กอายุ 5-11 ปี แต่แทบไม่มีการป้องกันการติดเชื้อเลย เมื่อเทียบกับกลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ โดยวัคซีนมีประสิทธิภาพในการ ป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเด็กอายุ 12-17 ปี ลดลง จาก 66% เป็น 51% และความสามารถในการช่วยป้องกันความเสี่ยงในการรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลงจาก 85% เป็น 73% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีนลดลงจาก 68% เหลือเพียง 12% ขณะที่ความสามารถในการต้านอาการเจ็บป่วยจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลยังลดลงอย่างมากจาก 100% เหลือเพียง 48% และในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ม.ค. ยังพบว่าประสิทธิผลของวัคซีนในการ ต้านการรักษาตัวในโรงพยาบาลในเด็กอายุ 12 ปี อยู่ที่ 67% แต่เหลือเพียง 11% ในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ประสิทธิภาพที่น้อยกว่าอาจมาจากปริมาณวัคซีนที่เด็กอายุ 5-11 ปี ได้รับปริมาณ 10 มก. ขณะที่เด็ก 12-17 ปี ได้รับปริมาณ 30 มก. เท่ากับผู้ใหญ่