เกษตรและอาหาร เพื่อความมั่นคงของมนุษย์และโลก เป้าหมายของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่ “BCG Model” ซึ่งเป็นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจคือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมๆกัน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทย ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายเพราะ BCG Model มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และสอดรับกับหลักการของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นหลักสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย นั่นก็คือ เปลี่ยนจาก “ผลิตมากแต่ได้น้อย” ไปสู่การ “ผลิตน้อยแต่สร้างรายได้สูง”ที่สำคัญ สวทช.จะนำ “ราแมลง” ชนิดใหม่ของโลก 47 สายพันธุ์และที่มีอยู่แล้วกว่า 90,000 สายพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งถือว่ามากแห่งหนึ่งของโลก นำมาสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ก่อนพัฒนาเป็นสารชีวภัณฑ์ช่วยในเรื่องของเกษตรและอาหารด้วยสำหรับ “ราแมลง” คือ ราที่ก่อโรคในแมลงและแมงมีคุณสมบัติในการสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพยิ่งเมื่อนำมารวมกับต้นทุนที่มีอยู่แล้ว คือ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ ที่มีตัวอย่างพืช 1,391 ตัวอย่าง จุลินทรีย์ 6,051 ตัวอย่าง ข้อมูลจีโนม 6,051 ตัวอย่าง และข้อมูลดีเอ็นเอ 12,936 ตัวอย่าง ถือว่ามากเป็นลำดับต้นๆของโลก ยิ่งจะทำให้การเกษตรและอาหารของประเทศไทย มีความมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก “สวทช.มุ่งเป้ากลุ่มพืชเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะข้าว มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวสายพันธุ์ใหม่ๆที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น รวมทั้งทนทานต่อโรคและแมลง ซึ่งมีข้าวหลายสายพันธุ์ได้รับการรับรองเป็นพันธุ์พืชขึ้นทะเบียนจากกรมวิชาการเกษตร เช่น ข้าวเจ้าพันธุ์หอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน ข้าวเหนียวพันธุ์ธัญสิรินต้านทานโรคไหม้ ข้าวเหนียวพันธุ์น่าน 59 ต้านทานโรคไหม้และขอบใบแห้ง ส่วนพันธุ์ข้าวที่ได้รับรองจากกรมการข้าว เช่น ข้าวเจ้าพันธุ์ กข 51 ข้าวเจ้าพันธุ์ กข 73 นอกจากนี้ยังพัฒนาพันธุ์ข้าวโภชนาการสูง เช่น ข้าวเจ้าพันธุ์ไรซ์เบอร์รี่ ข้าวเจ้าพันธุ์สินเหล็ก ซึ่งได้รับรองพันธุ์พืชใหม่จากกรมวิชาการเกษตรแล้วทั้ง 2 สายพันธุ์ สำหรับการพัฒนาระบบบริหารจัดการการผลิตข้าว ได้มีการจัดทำฐานข้อมูลทางพันธุกรรมและลักษณะเด่นของสายพันธุ์ข้าวไทย 250 สายพันธุ์ โมบายแอปพลิเคชันตรวจวินิจฉัย 12 โรคสำคัญในข้าว รวมทั้งมีการใช้ระบบจัดการงานวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์พืชในระดับภูมิภาคอาเซียน” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สวทช. กล่าวถึงเป้าหมายในการตอบโจทย์เศรษฐกิจใหม่ส่วนพืชเศรษฐกิจตัวอื่น อาทิ “มันสำปะหลัง” มีการพัฒนาสายพันธุ์พิรุณ 1, 2 และ 4 พันธุ์เกษตรศาสตร์ 72 ซึ่งมีลักษณะเด่นที่ให้แป้งสูงและปริมาณไซยาไนด์ต่ำ ขณะที่ “อ้อย” มีการวิจัยค้นพบเครื่องหมายโมเลกุลในการคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีพันธุกรรมหวาน พร้อมทั้งพัฒนาพันธุ์อ้อยพันธุ์ภูเขียว 2 และภูเขียว 3 ที่มีความหวานและผลผลิตสูง “ยางพารา” มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้ประโยชน์น้ำยางตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอดจนการมุ่งเน้นเทคโนโลยีหลักอย่างเทคโนโลยีคีเลชัน เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของไม้ผลเศรษฐกิจ เช่น ทุเรียน มะม่วง ด้วย “ทั้งหมดเป็นการขับเคลื่อนสมาร์ทฟาร์มสู่สังคมไทย สร้างระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร สนับสนุนการเกษตรสมัยใหม่ นำเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ร่วมกับ Internet of Things (IoT) หรือ “อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง” ทำให้สามารถสั่งการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในกระบวนการเพาะปลูก ช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมสภาวะแวดล้อมในการปลูกตั้งแต่ต้น ส่งผลต่อการควบคุมคุณภาพและประเมินปริมาณผลผลิต อาทิ ระบบอัจฉริยะเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ (AQUA GROW) ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri–Map) ระบบเกษตรแม่นยำฟาร์มอัจฉริยะแบบพอเพียง (HandySense) และระบบจัดการแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่ (WiMaRC) ซึ่งทั้งหมดเน้นให้เกิดประโยชน์กับคนไทยในทุกระดับ” ผอ.สวทช. กล่าว ขณะที่ด้านอาหาร มีการวิจัยและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลายในระบบอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ ตัวอย่างในอาหารคน เช่น เทคโนโลยีการเร่งการหมักน้ำปลาด้วยเอนไซม์ การพัฒนาต้นเชื้อสำหรับหมักแหนม ผักกาดดอง และน้ำส้มผลไม้ เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค การพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มโปรตีนสูง ไส้กรอกไขมันต่ำ ผลิตภัณฑ์ไข่เหลวพาสเจอไรซ์ ขนมปังปราศจากกลูเตน ส่วนอาหารสัตว์ มีทั้งการพัฒนาอาหารสัตว์หมักและจุลินทรีย์สำหรับอาหารสัตว์ นวัตกรรมสารดูดจับชีวพิษเชื้อราในอาหารสัตว์ ไข่ออกแบบได้ Pentozyme เอนไซม์ ประสิทธิภาพสูงสำหรับสัตว์ อีกทั้งยังมีการตั้งโรงงานผลิตเชื้อจุลินทรีย์ชีวภาพแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อผลิตเชื้อจุลินทรีย์และอาหารสัตว์หมักชีวภาพในระดับอุตสาหกรรมด้วย และในอนาคตจะมีเทคโนโลยีแห่งอนาคต คือ เทระเฮิรตซ์ หรือย่านคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มาช่วยการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพอาหาร เช่น เพื่อตรวจวัดสารออกฤทธิ์หรือสารที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายของผู้รับประทานในผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารเสริมสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ หรือแม้กระทั่งใช้ในการสร้างภาพเพื่อดูการกระจายตัวของความชื้น การตรวจสอบสิ่งปลอมปน หรือการตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น“ทีมข่าววิทยาศาสตร์” มองว่า ทั้งหมดคือการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยด้วยเทคโนโลยีผ่านอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ด้วยการสามารถนำความรู้ ความเชี่ยวชาญ มาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ รวมถึงการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันควบคู่ไปกับการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมแต่สิ่งที่เราห่วงใยและต้องขอฝากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องคือ การดำเนินงานโดยเฉพาะใน ภาคปฏิบัติต้องมีความจริงใจและต่อเนื่องเพื่อเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทาง BCG Model สู่ความยั่งยืน จะไม่ไกลเกินไปเลย.ทีมข่าววิทยาศาสตร์